20 ส.ค. 2557

เปิดบันทึก ประวัติของเครื่องทำความเย็น




มนุษย์เรียนรู้วิธี ที่จะถนอมอาหารให้เก็บไว้กินในเมื้อต่อไปโดยการนำไปเก็บไว้ในที่ ที่มีอุณหภูมิต่ำมาเป็นเวลานานแล้ว เริ่มแรกในอดีต มนุษย์ไม่รู้จักการเก็บอาหารไว้กินในเมื้อต่อไป อาหารที่นำมากินในแต่ละมื้อ จึงหามากินในแบบมื้อต่อมื้อ ทำให้เราได้รู้ว่ามนุนษย์ในอดีตต้องยุ่งอยู่กับการหาอาหารมากินในแต่ละเมื้อ ตามหลักฐานและข้อมูลทางวิชาการที่มีการบันทึกไว้ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นที่มนุษย์ในสมัยโบราญเริ่มรู้ถึงวิธีการเก็บอาหารให้คงสภาพได้ดีที่สุด คือวิธีการดึงความร้อน ออกจากอาหารหรือการนำเอาอาหารไปเก็บไว้ในบริเวณที่มีอุณหภูมต่ำ ซึ่งเกิดจากการที่มนุษย์ยุกต์ก่อนๆล่าสัตว์มากินเป็นอาหารในช่วงฤดูหนาว แล้วกินไม่หมด จึงทิ้งไว้บนพื้นที่มีหิมะปกคลุม วันรุ่งขึ้นจึงพบว่าอาหารที่กินในเมื่อวาน ไม่เน่าเสีย ยังคคงสภาพไว้เช่นดังเมื่อวาน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่มนุษย์รู้จักการกักเก็บอาหารให้คงสภาพโดยการลดอุณหภูมิให้แก่อาหาร จึงอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นพื้นฐาน ที่เป็นจุดก่อกำเนิดเครื่องทำความเย็นในปัจจุบัน

น้ำเข็งก็เช่นเดียวกัน ในอดีตนานมาแล้ว อ้างอิงตามเอกสารทางวิชาการต่างๆ ได้กล่าวไว้ว่าชาวจีนผู้หนึ่ง ชื่อ Shi Ching (ไซ ชิง) ค้นพบว่าน้ำแข็งเป็นสิ่งที่วิเศษในสมัยนั้น มันสามารถที่จะเพิ่มรสของเครื่องดื่ม และทำให้รู้สึกสดชื่น ดับกระหายได้เป็นอย่างดี แต่มนุษย์ในยุกต์นั้นยังไม่รู้จักการผลิตน้ำแข็งใช้เอง ยังคงพึ่งพาน้ำแข็งจากธรรมชาติ เกิดการค้าขายและขนส่งน้ำแข็งไปยังที่ต่างๆชาวอเมริกัน ชื่อว่า เฟรอเดอริก ทรูดอร์ ได้มีการบรรทุกน้ำแข็งที่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ลงเรือจำนวน 130 ตัน เพื่อส่งขายยังหมู่เกาะอินเดียตะวันตก แต่น้ำแข็งได้ละลายไปเป็นจำนวนมากเพราะว่าไม่รู้จักวิธีการเก็บน้ำแข็ง เมื่อไปถึงยังหมู่บ้านที่เกาะอินเดียตะวันตก ทรูดอร์ ได้ทำไอศรีมขาย ทำให้เป็นที่แตกตื่นกันมาก เพราะว่าชาวหมู่เกาะอินเดียตะวันตกยังไม่เคยพบเคยเห็นหรือรู้จักมาก่อน แต่ว่าทรูดอร์ก็ประสบกับการขาดทุนไปเป็นจำนวนมาก เพราะว่าเขายังไม่รู้จักการเก็บน้ำแข็งนั้นเอง

ต่อมามนุษย์จึงเรียนรู้วิธีการเก็บรักษาน้ำแข็งให้อยู่ได้นานขึ้น โดยการรักษาความเย็นด้วยการนำขี้เลื่อยหรือแกลบ มาหุ้มก้อนน้ำแข็งเพื่อให้รักษาความเย็นและรักษาสภาพได้นานขึ้น การค้าขายน้ำแข็งในยุกต์นั้น ได้ก่อกำเนิดการค้าเป็นมูลค่ามหาศาล ซึ่งน้ำแข็งในสมัยก่อน ถือเป็นสิ่งของที่มีราคาแพงมาก ผู้ที่ได้ริมรสเครื่องดื่มเย็นๆที่ใส่น้ำแข็ง มีเพียงบุคคลในระดับสูงเท่านั้น

หลังจากมนุษย์เรียนรู้การรักษาสภาพให้น้ำแข็งอยู่ได้นานๆ ในปี 1849 ทรูดอร์ ได้ขยายอุตสาหกรรมการผลิตน้ำแข็ง โดยการส่งน้ำแข็งออกขายยังต่างประเทศ หลายประเทศ เช่น อเมริกาใต้ เปอร์เชีย หมู่เกาะอินเดีย เป็นต้นเขาได้สร้างที่เก็บน้ำแข็งโดยขี้เลื่อยของต้นสนหุ้มท่อไม่ให้น้ำแข็งละลาย ทำให้เขาได้มีกำไรเป็นจำนวนมาก ในปี และเขายังส่งน้ำแข็งขายถึง 150000ตัน และปี ค.ศ. 1864 เขาได้ส่งน้ำแข็งไปขายรวมทั้งสิ้น 53 ประเทศ จนเป็นที่นิยมมากและเขาก็ได้ลมเลิกกิจการไปเมื่อมีการจัดตั้งโรงงานอุสาหรรมน้ำแข็งขึ้น





จุดกำเนิดของเครื่องทำความเย็น

เมื่อน้ำแข็งจากธรรมชาติได้รับความต้องการเป็นจำนวนมาก ประกอบกับการขนส่งทำได้ไม่ครอบคลุมซึ่งยากแก่การที่จะขนส่งน้ำแข็งจากธรรมชาติเข้าถึงดินแดนที่ห่างไกลออกไปมาก รวมทั้งด้านความไม่สะดวกและราคาน้ำแข็งที่แพงมาก มนุษย์จึงเริ่มคิดค้นอุปกรณ์ที่จะมาใช้ในการทำความเย็น เพื่อที่จะสามารถรองรับความต้องการในการบริโภคน้ำแข็งที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

จนในปี ค.ศ. 1790 โทมัส ฮาริส และ จอห์น ลอง ได้มีการจดทะเบียนเครื่องทำความเย็นเป็นเครื่องแรกของโลก ที่ประเทศอังกฤษ และอีก 3 ปีต่อมา
จอคอม เปอร์กิ้น ชาวอเมริกันได้ประดิษฐ์เครื่องทำความเย็นเป็นเครื่องแรก และเป็นเครื่องทำความเย็นชนิดอัดไอ ชนิด ความเร็วช้า โดยที่ตัวเครื่องอัด (COMPRESSOR)
ใช้มือโยก แทนการใช้เครื่องยนต์ ใช้น้ำหล่อเย็นที่เครื่องควบแน่น และใช้ลิ้นแบบถ่วงน้ำหนักเป็นตัวควบคุมการไหลของสารทำความเย็น และใช้สารทำความเย็นชนิด อีเทอร์



เครื่องทำความเย็นชนิดอัดไอ ชนิด ความเร็วช้า


ในปี ค.ศ. 1851 ดร. จอห์น กอรี่ ได้มีการจดทะเบียนเครื่องทำน้ำแข็งโดยมีการใช้อากาศเป็นสารทำความเย็น แต่ก็ได้ประสบกับปัญหาหลายอย่างมากมาย และที่อุณหภูมิสูงยังได้เกิดระเบิดอีกด้วย ศาสตราจารย์ เอซี ทวินนิ่ง ชาวอเมริกัน ได้มีการปรับปรุงโดยใช้ ซัลฟูริกอีเทอร์ และมาประสบความสำเร็จเมื่อ ค.ศ. 1853 โดย ดร. เจม ฮาริสัน ชาวออสเตรเลีย เมื่อปี 1860 ได้ติดตั้งเครื่องทำความเย็นขนาดใหญ่ที่สุดเป็นเครื่องแรกของโลก ในปี ค.ศ. 1872 เฟอร์ดินัน แคร์รี่ ได้สร้างเครื่องทำความเย็นแบบดูดละลายหรือดูดซึม ขึ้นเป็นครั้งแรก ในระบบประกอบไปด้วย อีวาปอเรเตอร์ เครื่องควบแน่น เยนเนอเรเตอร์ ปั๊มและตัวดูดน้ำยา ใช้แอมโมเนีย เป็นสารทำความเย็น และได้มีการคิดค้นการใช้เครื่องอัดเพื่อทดแทนเครื่องอัดแบบมือโยก แต่ก็ยังหมุนได้ช้าเพราะว่า ใช้เครื่องอัดที่เป็นไอน้ำขับ ซึ่งมีความเร็วประมาณ 50รอบ/นาที ซึ่งถือว่าเร็วมากที่สุดในสมัยนั้น


เครื่องทำความเย็นแบบดูดละลายหรือดูดซึม



ในช่วงประมาณราวปลายศตวรรษที่ 19 ไปจนถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 20 วิวัฒนาการด้านระบบทำความเย็นและระบบปรับอากาศ เข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงและเจริญขึ้นมาอย่างรวดเร็ว วิทยาการด้านระบบการทำความเย็นและระบบปรับอากาศ ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างไม่หยุดนิ่ง และประสบผลสำเร็จ ก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆมากมาย วิวัฒนาการและเทคโนโลลยีใหม่ๆในด้านระบบเครื่องทำความเย็น ที่เกิดขึ้นในยุคศตวรรษที่ 19 และ 20 ได้ก่อให้เกิดสิ่งอำนวยความสะดวกขึ้นมาหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น

ปี 1890 มีการสร้างโรงจักรของเครื่องทำความเย็น แบบ De La Vergene ที่มีกำลังการทำความเย็นได้มากถึง 220 ตัน นับว่าเป็นการประสบความสำเร็จในวงการอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยเครื่องทำความเย็นของยุคนั้น


ปี 1904 อาคาร Stock Exchange New york ติดตั้งระบบเครื่องปรับอากาศ ขนาดใหญ่ถึง 450 ตัน
ถือเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในยุคเริ่มแรก ของวงการเครื่องทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่



Stock Exchange New york



ปี 1904 โรงภาพยนตร์ชื่อดังขนาดใหญ่ ในประเทศเยอรมัน ก็ยังมีการติดตั้งระบบเครื่องปรับอากาศ ขนาดใหญ่ถึง 450 ตัน

ปี 1905 Gardner T. Vdorhees ได้ทำการจดทะเบียนลิขสิทธิ์ คอมเพรสเซอร์ Multiple Effect

ปี 1911 คอมเพรสเซอร์ที่เคยมีความเร็วช้า ได้รับการพัฒนาให้มีความเร็วเพิ่มขึ้น สูงถึง 900 รอบ/นาที

ปี 1910 เริ่มมีการคิดค้นผลิตตู้เย็นตู้แช่สำหรับครัวเรือนออกวางจำหน่าย ชนิดทำงานโดยอาศัยแรงคน ออกวางจำหน่ายครั้งแรก ปี 1913

ปี 1915 ได้มีการคิดค้นและทดสอบ สร้างระบบเครื่องทำความเย็นที่ใช้คอมเพรสเซอร์ 2 ชุด ในระบบเดียว จนสำเร็จ นำมาใช้งานและออกจำหน่ายได้ใน ปี 1940

ปี 1918 บริษัท Kelvinator เป็นรายแรกที่ผลิตตู้เย็นแบบอัตโนมัติ ออกสู่ตลาดจำนวน 67 เครื่อง

ปี 1920 บริษัท Kelvinator เพิ่มกำลังผลิตขึ้น ตามความต้องการของผู้ใช้ อีกหลายร้อยเครื่อง

หลังจากคิดค้นและทดลองมาเป็นระยะเวลา 11 ปี General Electric ได้ทำการผลิตมอเตอร์คอมเพรสเซอร์แบบปิดสนิทออกวางจำหน่าย ในปี 1926

ปี 1940 มีผู้เริ่มคิดค้นระบบการทำงานของคอมเพรสเซอร์แบบโรตารี่


ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การพัฒนาของวงการระบบปรับอากาศ มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด


จากข้อมูลทางวิชาการ ได้กล่าวถึงการกำเนิดโรงงานผลิตน้ำแข็งแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งก่อกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2448 สมัยรัชกาลที่ 5 พระยาภักดีนรเศรษฐ หรือ นายเลิศ เศรษฐบุตร ได้เริ่มต้นกิจการโรงน้ำแข็งซึ่งเป็นโรงน้ำแข็งแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งขึ้นที่สะพานเหล็กล่าง ถนนเจริญกรุง ชื่อว่า น้ำแข็งสยาม แต่กลับเป็นที่รู้จักกว้างขวางในชื่อ โรงน้ำแข็งนายเลิศ นับแต่นั้นน้ำแข็งก็แพร่ขยายไปสู่หัวเมืองใหญ่ๆ รอบนอกกรุงเทพฯ แต่น้ำแข็งยุคนั้นยังไม่สะอาดเท่าที่ควร เพราะใช้น้ำจากแม่น้ำลำคลองมาทำให้ใส ที่ดีหน่อยก็ใช้น้ำบาดาล แต่ไม่มีการกรองฆ่าเชื้อโรคแต่ประการใด เพราะต้นทุนสูงไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย

ระบบเครื่องทำความเย็นในยุกต์เริ่มต้นของโรงน้ำแข็งแห่งแรกในประเทศไทย มิได้มีการนำมอเตอร์ไฟฟ้ามาเป็นส่วนต้นกำลังในการขับกลไกลให้เครื่องดูดอัดสารทำความเย็น(คอมเพรสเซอร์)เหมือนในปัจจุบัน แต่ใช้เครื่องยนเป็นส่วนต้นกำลังในการขับเคลื่อนเครื่องดูดอัดสารทำความเย็น ซึ่งใช้แอมโมเนียเป็นตัวกลางในการทำความเย็น

ในประเทศไทย น้ำแข็งในช่วงแรกๆ ถึงแม้เป็นน้ำแข็งที่ไม่ค่อยสะอาด แต่ก็เป็นสิ่งที่แปลกใหม่แก่สายตาชาวสยาม เป็นสิ่งที่มีราคาแพง บุคคลในระดับชั้นสูงเท่านั้น ที่จะได้ลิ้มรสเครื่องดื่มใส่น้ำแข็ง 


พระยาภักดีนรเศรษฐ





จุดเริ่มต้นจนมาเป็นเครื่องปรับอากาศสำหรับภาคครัวเรือน

สำหรับเครื่องปรับอากาศที่เราใช้งานกันในบ้านพักอาศัย หรือที่เรียกกันว่าแอร์บ้านนั้น นับว่าเป็นเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก ที่ผลิตเพื่อใช้งานกันภายในภาคครัวเรือน 
เครื่องปรับอากาศภายในอาคารบ้านเรือน ที่เรามีใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ เป็นนวัตกรรมที่มีการหยิบยืมแนวคิดมาจากระบบทำความเย็นขนาดใหญ่ ที่ใช้กันในระดับอุตสาหกรรม ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณชายที่ชื่อว่า  
วิลลิส ฮาวีย์แลนด์ แคร์เรียร์ (Willis Haviland Carrier) วิศวกร ชาวอเมริกัน ซึ่งเขาคือผู้ที่ประดิษฐ์เครื่องปรับอากาศเครื่องแรก ที่เป็นต้นแบบของเครื่องปรับอากาศที่เรามีใช้กันในปัจจุบัน


Willis Haviland Carrier


ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1902 ที่เมื่อง Buffalo,New York ประเทศสหรัฐอเมริกา โรงพิมพ์ภาพสีแห่งหนึ่งประสบปัญหาด้านความชื้นในอากาศ ซึ่งมีอยู่มากในบริเวณที่ทำงาน ความชื้นที่มี เป็นปัญหาใหญ่ต่อการพิมพ์ภาพสีในยุคนั้น เพราะด้วยข้อจำกัดในด้านเทคโนโลยีการพิมพ์ภาพสีของยุคนั้น ทำให้เครื่องพิมพ์ไม่สามารถพิมพ์ภาพสีต่างๆออกมาได้ตามต้องการเนื่องจากความชื้นที่มีอยู่มาก

ด้วยปัญหาด้านความชื้นที่โรงพิมพ์ต้องพบเจอ ทำให้ Willis Haviland Carrier วิศวกรในขณะนั้น ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญในการจัดการกับความชื้นที่มี 
โดยแรงบันดาลใจของ Willis Haviland Carrier เกิดขึ้นเมื่อเขายืนอยู่ที่สถานีรถไฟ และในขณะนั้นมีหมอกลงจัด ทำให้เขาเกิดแนวคิดขึ้นมาจากหมอก ซึ่งคือละอองน้ำในอากาศ โดยที่น้ำจะควบแน่นแล้วมารวมตัวกันเป็นหยดน้ำเมื่อมีอากาศเย็นลง

ด้วยแนวคิดที่ว่านี้เอง ทำให้เขาสร้างเครื่องจักรตัวหนึ่งขึ้นมา โดยเครื่องจักรนี้มีหน้าที่สร้างความเย็นในระดับที่เย็นจัด ที่แผงอีวาปอเรเตอร์ เพื่อดึงเอาความชื้นที่มีอยู่ในอากาศมารวมกันที่แผงอีวาปอเรเตอร์ แล้วทำให้เกิดการควบแน่นเป็นหยดน้ำ โดยท้ายที่สุดหยดน้ำที่ได้จากการควบแน่นนี้ จะถูกระบายออกไปทิ้ง ซึ่งอากาศภายในห้องที่ติดตั้งแผงอีวาปอเรเตอร์ จะเป็นอากาศที่แห้ง และผลพลอยได้คือ เป็นอากาศที่เย็นด้วย
อาจกล่าวได้ว่า ต้นแบบของเครื่องปรับอากาศที่เราใช้กันในทุกวันนี้ มีต้นแบบมาจากเครื่องลดความชื้นในอากาศ
และก็นับว่า แบรนด์ Carrier คือแบรนด์ของเครื่องปรับอากาศรายแรกของโลก เป็นเจ้าแรกที่บุกเบิกตลาดเครื่องปรับอากาศสำหรับใช้ในครัวเรือน

2 ส.ค. 2557

เครื่องปรับอากาศภายในบ้าน




เครื่องปรับอากาศ (Air conditioner) หรือนิยมเรียกสั้นๆว่า...แอร์ ปัจจุบันเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทหนึ่งที่ถือว่าจำเป็นในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เพราะอากาศบนโลเราร้อนขึ้นทุกวัน 

ประเทศไทยของเราเป็นเมืองร้อน จึงมีความจำเป็นและความต้องการที่จะใช้เครื่องปรับอากาศในจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการความสะดวกสบายแก่ร่างกายตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุณหภูมิและสภาพอากาศโดยรอบๆ การทำให้อุณหภูมิหรืออากาศรอบตัวมีความสบายแก่ร่างกาย ทำได้โดยการใช้เครื่องปรับอากาศหรือแอร์ มาเป็นตัวทำให้อุณหภูมิโดยรอบมีความเย็นสบายเหมาะสมต่อร่างกาย และมีความชื้นในระดับที่เหมาะสม

เครื่องปรับอากาศที่ดี จึงต้องสามารถปรับอุณหภูมิในห้อง ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามที่ต้องการรวมทั้งการรักษาระดับอุณหภูมิให้คงที่ และยังต้องรักษาระดับความชื้นในอากาศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อร่างการ 


ระบบปรับอากาศเพื่อความสบายจะประกอบไปด้วย

1. การปรับอุณหภูมิ (Temperature) ร่างกายคนเราโดยเฉลี่ยแล้ว จะมีอุณภูมิร่างกายปกติ อยู่ที่ประมาณ 36.6 องศาเซลเซียส ในการปรับอากาศให้เหมาะสมแก่ร่างกายของมนุษย์ตามหลัก จะอยู่ที่ประมาณ 22.2 องศาเซลเซียส แต่ในมาตรการของรัฐบาลและกระทรวงพลังงาน ได้มีการรณรงค์ให้ปรับอุณภูมิของเครื่องปรับอากาศเพื่อการประหยัดพลังงานที่ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมแก่ร่างกาย

2. การปรับความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity) ในห้องปรับอากาศ ระดับความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสมแก่ร่างกายของคนเรา ซึ่งเป็นระดับที่ให้ความสบายและไม่ส่งผลเสียต่อน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ผิวมากเกินไป จะมีค่าความชื้นสัมพัทธ์อยู่ที่ปริมาณ 50-55% ซึ่งหากมีความชื้นสัมพัทธ์มากเกินไป จะทำให้รู้สึกไม่สบายตัว และเอื้อประโยชน์ในการเติบโตของเชื้อรา ส่วนหากมีปริมาณความชื้นสัมพัทธ์น้อยเกินไป ก็จะทำให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงในชั้นเซลล์ผิวหนังมากเกินไป จนทำให้ผิวแห้ง แตกลอก ไม่สบายตัว



ความจำเป็นในการใช้เครื่องปรับอากาศ

สภาพอากาศในประเทศไทย ที่เป็นเมืองร้อน ประกอบกับภาวะโลกร้อน อีกทั้งชีวิตคนเมือง ที่ต้องดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวและมลภาวะแวดล้อมที่มีอยู่มาก สังคมเมืองที่มีตึกสูงรายล้อม จะเปิดประตูหน้าต่างให้ลมธรรมชาติพัดผ่าน เหมือนตามบ้านเรือนในชนบท ก็ย่อมเป็นไปได้ยาก ทำให้เครื่องปรับอากาศ จัดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันของหลายๆคน 



ราคาของเครื่องปรับอากาศในปัจจุบัน

ในอดีต เมื่อประมาณ 20-30 ปีที่แล้ว หลายๆคนก็ต่างยอมรับ ว่าเครื่องปรับอากาศเป็นสินค้าที่ฟุ่มเฟือย และมีราคาสูง ผู้เขียนขอยกตัวอย่างราคาเครื่องปรับอากาศเมื่อ พ.ศ.2528 ขอหยิบยกเครื่องปรับอากาศ ขนาด 12,000 BTU ยี่ห้อ DAIKIN ซึ่งในตอนนั้น มีราคาอยู่ที่ ประมาณ 38,000 บาท เมื่อนำมาเทียบกับราคาในปัจจุบัน จะพบว่าราคาที่วางขายในปัจจุบัน เป็นราคาที่ถูกลงมามากพอสมควร และ เมื่อมองไปในอนาคต ผู้เขียนก็คาดว่า ราคาเครื่องปรับอากาศ ก็จะยิ่งลดลง เพราะอันเนื่องมาจาก ความต้องการใช้เครื่องปรับอากาศที่มีมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันกันภายในวงการเครื่องปรับอากาศ เทคโนโลยีใหม่ๆที่ถูกจับเอามาใส่ รวมทั้งการแข่งขันกันตัดราคาของผู้ผลิต ทำให้ราคาเครื่องปรับอากาศถูกลงเรื่อยๆ 

และเมื่อไม่นานมานี้ทางคณะรัฐมนตรี ได้ประการงดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก ที่ใช้กันภายในครัวเรือน ก็ยิ่งทำให้ราคาเครื่องปรับอากาศถูกลงมาอีกในระดับหนึ่ง เป็นผลดีแก่ผู้บริโภค ที่มีตัวเลือกเพิ่มขึ้น ในราคาที่ลดลง และยังเป็นการกระตุ้นตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทเครื่องปรับอากาศให้ฟื้นตัว หลังจากเจอพิษเศรษฐกิจเล่นงาน 


การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ ให้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป

ถึงแม้จะกล่าวว่าเครื่องปรับอากาศ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ในปัจจุบัน แต่ราคาค่าตัวของเครื่องปรับอากาศส่วนใหญ่ ก็ยังจัดได้ว่าไม่ได้มีราคาอยู่ในระดับที่ถูก เครื่องปรับอากาศจึงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เรียกได้ว่าได้รับความนิยมหลักๆในกลุ่มครอบครัวที่มีฐานะปานกลางไปจนถึงฐานะร่ำรวย 

เนื่องจากเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กที่ใช้กันตามบ้านเรือน มีราคาที่ไม่ได้เรียกว่าถูกๆ แถมยังกินกระแสไฟอยู่ในระดับที่ไม่น้อยเลย ในเรื่องค่าใช้จ่ายของเครื่องปรับอากาศ มีค่าใช้จ่ายที่เรียกได้ว่าตลอดอายุการใช้งาน มีต้นทุนในการลงทุนซื้อ อีกทั้งยังค่าใช้จ่ายรายปีสำหรับการล้างทำความสะอาด ในระยะเวลาที่เหมาะสมคือล้างทุกๆ 6 เดือนหรือปีละ 2 ครั้ง ยังไม่รวมไปถึงกรณีที่ใช้เครื่องปรับอากาศด้อยคุณภาพ มีปัญหากวนใจตามมาเสมอ ส่งผลให้ต้องจ่ายเงินค่าบริการซ่อมแซมไม่รู้จบในกรณีที่มีปัญหามากวนใจ 

เพราะราคาของเครื่องปรับอากาศที่วางขายกัน ไม่ได้มีราคาถูก ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อเครื่องปรับอากาศ ควรพิจารณาในหลายๆเรื่อง เพี่อที่จะได้ความเย็นสบายตามความต้องการ บนความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปนั่นเอง 




รูปแบบเครื่องปรับอากาศ 

ก่อนที่จะซื้อเครื่องปรับอากาศเครื่องใหม่สักเครื่อง ก่อนอื่นต้องดูรูปแบบและขนาดของห้องที่ต้องการใช้เครื่องปรับอากาศ เพื่อนำมาพิจารณาเลือกเครื่องปรับอากาศรูปแบบที่เหมาะสมกับการใช้งานและตรงตามความต้องการของคุณ เพราะเครื่องปรับอากาศในท้องตลาด ที่วางขายกันในปัจจุบัน ทางผู้ผลิต ได้มีการออกแบบรูปทรงดีไซด์ ที่หลากหลาย ตามความต้องการและพื้นที่ในการติกตั้ง หากลองมองย้อนกลับไปในสมัยก่อน จะเห็นรูปแบบเครื่องปรับอากาศที่มีหน้าตาเหมือนๆกันไม่แตกต่างกันมาก รูปแบบในอดีต ที่มีรูปทรงเป็นตู้เหล็กเหลี่ยมๆ ต่างกับรูปแบบและดีไซด์ของเครื่องปรับอากาศในปัจจุบัน ที่ได้มีการพัฒนาให้สวยงาม ลงตัวกับการตกแต่งภายในอาคาร แตกต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิง




เครื่องปรับอากาศแบบต่างๆที่ใช้กันภายในครัวเรือน

1. เครื่องปรับอากาศแบบเคลื่อนที่(PORTABIE) 
เป็นเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก มีขนาดทำความเย็นให้เลือกอยู่ไม่มาก ประมาณ 6,000 - 15,000 BTU โดยตัวเครื่องจะรวมเอาอุปกรณ์ทุกชิ้นอยู่ในกล่องเดียวกัน

ข้อดี
- ใช้งานได้ทันที
- เหมาะสมที่จะใช้งานในพื้นที่ ที่ไม่อณุญาติให้ทำการดัดแปลงตัวอาคารเพื่อติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เช่น หอพัก
- ใช้เป็นแอร์สำรองในกรณีแอร์หลักเสีย
- ใช้สำหรับงานภาคสนาม เช่น เตนท์พักค้างแรม,งานพิธี หรือ ส่วนแสดงสินค้า

ข้อเสีย
- มีขนาดทำความเย็นน้อย
- ต้องหาที่ระบายความร้อนโดยการต่อท่อนำความร้อนออกไปทิ้ง
- ต้องคอยถอดกล่องระบายน้ำทิ้งไปทิ้งด้วยตนเอง
- การกระจายความเย็นที่ทำได้เฉพาะจุด
- เสียงค่อนข้างดัง เพราะมีการรวมเอาคอมเพรสเซอร์ไว้ในกล่องเดียวกัน
___________________________________________________


2.เครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่าง(WINDOW TYPE)
เป็นเครื่องปรับอากาศที่ได้รับความนิยมในอดีต รูปแบบและข้อดีข้อเสียจะคล้ายคลึงกับเครื่องปรับอากาศแบบเคลื่อนที่ เพราะมีการรวมเอาอุปกรณ์ทุอย่างไว้ในชุดเดียวกัน แต่ต่างกันที่เครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่างจะติดตั้งยึดไว้กับวงกบหน้าต่าง แล้วหันด้านท้ายซึ่งเป็นด้านลมร้อนและด้านระบายน้ำทิ้งออกนอกอาคาร มีขนาดทำความเย็นที่ 6,000 - 24,000 BTU ปัจจุบันได้ลดความนิยมใช้ลงไปมากเพราะข้อด้อยในหลายๆด้าน

___________________________________________________


3.เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน(SPLIT SYSTEM)
เป็นเครื่องปรับอากาศระบบที่นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะมีการแยกเป็น2ส่วนหลักๆคือ ส่วนคอยล์ร้อนที่ส่วนใหญ่มีปัญหาด้านเสียงดัง นำไปวางไว้ภายนอกอาคาร ในคอยล์ร้อนจะประกอบด้วย คอมเพรสเซอร์ และส่วนของเครื่องควบแน่น+พัดลมเครื่องควบแน่น ในส่วนที่อยู่ภายในอาคารจะเป็นส่วนของคอยล์เย็น ประกอบไปด้วย อีวาปอเรเตอร์(แผงเย็น)และพัดลมโบลเวอร์ของอีวาปอเรเตอร์ โดยมีท่อนำสายทำความเย็นซึ่งนิยมใช้เป็นท่อทองแดงเชื่มต่อระบบให้ถึงกัน และมีการเดินท่อน้ำทิ้งจากคอยล์เย็นออกไปทิ้งนอกอาคาร เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนจะมีการผลิตออกมาหลายรูปแบบเพื่อเอื้อประโยชน์ในพื้นที่ใช้สอยภายในห้อง โดยแบ่งออกเป็น



3.1 เครื่องปรับอากาศแยกส่วนแบบติดผนัง(WALL TYPE)
ข้อดี
- ทำงานเงียบ
- ใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อย
- น้ำหนักเบา
- มีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 6,000 - 36,000 BTU
- รูปทรงสวยงามและมีให้เลือกหลากหลาย
- มีฟังชั่นการทำงานและลูกเล่นเยอะ
ข้อเสีย
- การติดตั้งทำได้เฉพาะบนผนังเท่านั้น
- การส่งลมไม่ไกลและกระจายแรงลมน้อย เนื่องจากใบพัดมีขนาดเล็ก
___________________________________________________


3.2 เครื่องปรับอากาศแยกส่วนแบบตั้ง-แขวน((Floor/Ceiling Type))
ข้อดี
- เย็นเร็ว เพราะ การกระจายลมเย็นทำได้ไกลและทั่วถึง
- เลือกที่จะติดตั้งโดยแขวนแพดานหรือตั้งพื้นได้ตามสะดวก
- เหมาะกับห้องขนาดใหญ่เพราะมีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 12,000 ถึง 60,000 BTU
- ถาดรองรับน้ำทิ้งขนาดใหญ่ ระบายน้ำได้ดี
ข้อเสีย
- มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก
- มีฟังชั่นการทำงานน้อย ลูกเล่นไม่มาก
- ใช้อุปกรณ์จับยึดที่ต้องรับน้ำหนักได้มากๆ และใช้พื้นที่ติดตั้งมาก
- มีเสียงลมดังกว่า

___________________________________________________


3.3 เครื่องปรับอากาศแยกส่วนแบบติดเพดาน(CEILING TYPE)
ข้อดี
- รูปทรงสวยงาม ทันสมัย เนื่องจากมีส่วนโผล่ออกมาใต้ฝ้าเพดานเพียงแค่ฝาครอบบางๆ
- เหมาะกับการตกแต่งภายในที่ไม่ต้องการให้เห็นตัวเครื่องปรับอากาศ
- กระจายลมได้4ทิศทาง
ข้อเสีย
- มีราคาสูง
- การติดตั้งทำได้ยาก
- ต้องติดตั้งโดยช่วงผู้ชำนาญ
- ระบบระบายน้ำทิ้งใช้ปั๊มระบายออก เสี่ยงต่อกรณีปั๊มไม่ทำงาน น้ำล้นออกมา ฝ้าเพดานงามๆได้รับความเสียหาย
***แต่รุ่นใหม่ๆในปัจจุบัน หลายยี่ห้อมีฟังก์ชั่นไฮเทคขึ้น เพื่อช่วยป้องกันความเสียหายจากปั๊มน้ำทิ้งไม่ทำงาน กล่าวคือ เมื่อปั๊มน้ำทิ้งทำงานผิดพลาดหรือไม่ทำงาน เบื้องต้นระบบจะสั่งการให้เครื่องปรับอากาศหยุดการทำงานก่อนที่ระดับน้ำจะเพิ่มสูงจนล้น เป็นการป้องกันความเสียหาย***
- การบำรุงรักษาเช่นการล้างการซ่อม ทำได้ยาก
- หากท่อแอร์มีปัญหา กรณีที่เปิดฝ้าหรือขึ้นไปบนฝ้าไม่ได้ ต้องกรีดฝ้าเพดาน งานบานปลาย
- ค่าบริการแพงกว่าแอร์แบบทั่วไป


___________________________________________________


3.4 เครื่องปรับอากาศแยกส่วนแบบคอยล์เปลือยซ่อนในฝ้าเพดาน(HORIZONTAL TYPE)
ข้อดี
- ซ่อนในฝ้าเพดานเพื่อความเรียบร้อย สวยงาม ดูทันสมัย
- เหมาะสำหรับการตกแต่งภายใน
ข้อเสีย
- มีราคาสูง
- การติดตั้งทำได้ยาก
- ต้องติดตั้งโดยช่วงผู้ชำนาญ
- ระบบระบายน้ำทิ้งใช้ปั๊มระบายออก เสี่ยงต่อกรณีปั๊มไม่ทำงาน น้ำล้นออกมา ฝ้าเพดานงามๆได้รับความเสียหาย
- การบำรุงรักษาเช่นการล้างการซ่อม ทำได้ยาก
- หากท่อแอร์มีปัญหา กรณีที่เปิดฝ้าหรือขึ้นไปบนฝ้าไม่ได้ ต้องกรีดฝ้าเพดาน งานบานปลาย
- ค่าบริการแพงกว่าแอร์แบบทั่วไป


___________________________________________________



4.เครื่องปรับอากาศแบบชีลเลอร์(CHILLED TYPE)
เป็นเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ ใช้ในระบบอุตสาหกรรมหรือระบบปรับอากาศเพื่อการพานิช เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ซึ่งเป็นแอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้การระบายความร้อนด้วยน้ำและอากาศ ใช้การส่งความเย็นโดยการปั๊มน้ำเย็น ที่มีอุณหภูมิประมาณ 5-10 องศาเซลเซียส ส่งไปทางท่อน้ำเย็นเข้าสู่จุดกระจายความเย็นในบริเวณต่างๆของอาคาร ซึ่งเครื่องปรับอากาศแบบชีลเลอร์เป็นเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้วิศวกรด้านเครื่องกลเป็นผู้ออกแบบระบบ


___________________________________________________



การคำนวณหาขนาดทำความเย็นของขนาดเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมกับขนาดห้องที่จะติดตั้ง ขนาดทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ มีหน่วยเป็น BTU = BTU/hr.(บีทียู/ชั่วโมง) 
ขนาด 1 ตันความเย็น =12,000 BTU 
ซึ่งค่า BTU เป็นค่าที่บอกถึง ความสามารถที่เครื่องปรับอากาศจะนำพาความร้อนออกจากห้องได้ในเวลา 1 ชัวโมง

การคำนวณหาขนาดเครื่องปรับอากาศที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง มีหลักการอยู่หลายวิธี เช่น การนำพื้นที่ห้อง(ตร.ม.) x ขนาดทำความเย็นตั้งแต่ 700 - 1000
หรือหากจะใช้เป็นวิธีที่ค่อนข้างละเอียด ก็สามารถคำนวนได้ตามตารางแบบฟอร์มข้างล่าง

___________________________________________________



หากเราทราบโหลดปริมาณความร้อนในห้องจำพวก น้ำหนักของสสาร อุณหภูมิแตกต่าง ความร้อนจำเพาะ รวมทั้งหมดโดยการคำนวนออกมาเป็น BTU/hr.และมีการเผื่อขนาดไว้อีก10% เราสามารถนำค่าที่คำนวนออกมา ไปใช้เป็นขนาดเครื่องปรับอากาศได้ทันที แต่ในการคำนวณด้วยวิธีนี้ถือว่าเป็นเรื่องของวิธีการเฉพาะทางของช่างหรือผู้ออกแบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยุ่งยากสำหรับผู้ใช้ทั่วไป จึงมีการกำหนดวิธีง่ายๆออกมา เพื่อให้ผู้ใช้สามารถคำนวณเองได้ง่ายๆ โดยการนำขนาดของห้องหน่วยเป็นตารางเมตร มาคูณกับค่าตัวแปร ผลที่ได้ก็จะทำให้ได้ทราบถึงขนาดของเครื่องปรับอากาศโดยประมาณ ที่มีความเหมาะสมในการใช้งาน โดยสามารถนำขนาดพื้นที่ห้อง มาคูณกับตัวคูณแบบต่างๆ เพื่อหาขนาดของเครื่องปรับอากาศโดยวิธีง่ายๆ


ตัวคูณ(ขนาดทำความเย็นใน 1 ตร.ม.) สำหรับนำมาหาขนาดเครื่องปรับอากาศ แบบง่ายๆ

700 x พท.(ตร.ม.) สำหรับห้องนอน
750 x พท.(ตร.ม.) สำหรับส่วนพักผ่อน หรือห้องนอน ที่มีแดดส่อง
800 x พท.(ตร.ม.) สำหรับห้องทำงานหรือห้องนั่งเล่น ที่มีแดดส่องไม่มาก
850 x พท.(ตร.ม.) สำหรับห้องทำงานที่มีแดดส่องค่อนข้างมากหรือห้องรับแขก
900 x พท.(ตร.ม.) ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก ที่มีแดดส่องมาก
1,000 x พท.(ตร.ม.) สำหรับบริเวณห้องที่ร้อนมากหรือมีผนังกระจกหลายด้าน

ซึ่งการใช้ตัวแปรคูณหาขนาด อาจจะไม่ตรงแบบที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากกรณีให้ช่างหรือผู้ออกแบบประเมินขนาด จะประเมินโดยความเห็นสมควรและปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำความเย็น
หรือเปรียบเทียบได้จากตารางพื้นฐานในการเลือกเครื่องปรับอากาศ Click 

ปล. ข้อมูลเบื้องต้น เหมาะสมกับห้องในสภาวะปกติ ที่มีจำนวนคนอยู่ไม่มาก และเพดานสูงไม่เกิน 3 เมตร



การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศดูที่การรับรองอะไรบ้าง

สิ่งแรก ควรดูที่การรับประกันในวัสดุ ชิ้นส่วน และอุปกรณ์ พร้อมทั้งพิจารณาในเงื้อนไขของการรับประกัน
และควรดูในเรื่อง มาตรฐานต่างๆ เช่น มอก. , สมอ. , ISO
ในส่วนฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นการรับรองประสิทธิภาพในการใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ในกรณีแอร์ขนาดใหญ่อาจจะไม่ได้รับฉลากเบอร์ 5 เพราะไม่เข้าตามมาตรฐานนั่นเอง

และไม่เพียงแต่สังเกตุเฉพาะฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 อย่างเดียว 
ควรดูที่ค่า EER (Energy Efficiency Ratio) ซึ่งเป็นค่าประสิทธิภาพพลังงานซึ่งคำนวณโดย การเอาค่าบีทียูมาหารด้วยจำนวนวัตต์ หากค่า EER น้อยเกินไปแสดงว่ากินไฟมาก 
จำนวนของค่า EER ยิ่งสูง ก็ยิ่งแสดงว่าแอร์เครื่องนั้นประหยัดพลังงานมาก



ช่วงเวลาในการซื้อเครื่องปรับอากาศ

หลายคนมีความคิดที่ว่า "ซื้อแอร์หน้าหนาว ราคาถูกกว่า" นั่นเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องเสมอไป ซึ่งราคาก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก อาจจะถูกกว่ากัน ไม่กี่บาท เพราะเครื่องปรับอากาศเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีล็อตการผลิตที่ไม่เหมือนกันแล้วแต่ผู้จำหน่ายสต็อกสินค้าเอาไว้ เครื่องปรับอากาศเรียกว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ขายได้ตลอดปีเพราะปัจจุบันฤดูกาลในประเทศไทย เปลี่ยนไปมาก ฤดูร้อนก็ร้อนจัด ฤดูฝนก็ไม่ค่อยมีฝน ฤดูหนาวก็ไม่หนาวมากแบบอดีต แต่จะขายได้มากน้อยในช่วงใด อยู่ที่กำลังซื้อของผู้บริโภคมากกว่า 



แต่ถ้าใครคิดจะติดแอร์ใหม่สักเครื่อง ส่วนตัวแนะนำว่าซื้อช่วงฤดูร้อนจะดีที่สุด เพราะผู้จำหน่ายต่างงัดกลยุทธในการเรียกลูกค้าด้วยโปรโมชั่นต่างๆ อาจจะแถมบริการล้างฟรี แถมฟรีค่าติดตั้ง แถมพัดลม แถมหมอน หรือแถมอะไรก็ตามแต่ที่เขาจัดรายการ การต่อรองราคาก็ทำได้ง่ายกว่าซื้อนอกเหนือจากฤดูร้อน

ส่วนจะซื้อยี่ห้อไหนหรือรุ่นไหน ก็ให้ศึกษาก่อนที่จะซื้ออาจจะศึกษาจากเสียงของผู้ใช้ คำแนะนำของช่าง หรือข้อมูลผลิตภัณฑ์แต่ละตัว เอาราคา ความชอบ และ ข้อมูล มาชั่งน้ำหนักหักล้างกัน เพื่อจะได้เครื่องปรับอากาศที่คุ้มค่าต่อเงินที่จ่ายไป ทำความเย็นได้ตามต้องการและถูกใจในการใช้งาน เพราะอย่าลืมว่าการลงทุนซื้อเครื่องปรับอากาศแต่ละครั้ง มันจะต้องอยู่กับเราไปอีกนาน โดยไม่งอแงหรือมีปัญหากวนใจบ่อยๆ

เมื่อเลือกยี่ห้อและรุ่นที่ต้องการได้แล้ว ควรทำการเช็คราคาจากร้านใกล้ๆบ้านเพื่อได้ทราบราคาที่เป็นที่น่าพอใจที่สุด เลือกร้านที่มีหน้าร้านและดูน่าเชื่อถือ หรือซื้อจากร้านแอร์ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการของแอร์แบรนด์ที่ต้องการเพื่อที่คุณจะได้รับคำแนะนำที่ดีและได้รับการบริการหลังการขายมาตรฐานศูนย์บริการ ไม่แนะนำให้ซื้อแอร์ในห้างดังๆทั้งหลาย เพราะคุณอาจจะไม่ได้แอร์ในรุ่นที่คุณต้องการ พนักงานขายจะหลอกหลอนคุณ คอยเน้นย้ำและเชียร์รุ่นที่คุณไม่ได้สนใจและไม่ได้เก็บข้อมูล ทำให้คุณไขว้เขวและในที่สุดก็ตกในภวังค์ของพนักงานขาย ได้รุ่นที่ไม่ต้องการกลับมา แล้วมานั่งเสียใจอยู่ภายหลัง รวมทั้งราคาในห้างที่ไม่สามารถคุยต่อรองกันได้ ต่อให้ป้ายในห้างเขียนว่าถูกแค่ไหน เมื่อลองออกมาเที่ยบกับร้านแอร์ใหญ่ๆข้างนอก จะพบว่า คำว่า...ถูก หรือ ลดกระหน่ำ ที่ห้างติดป้ายไว้ ยังคงแพงกว่าร้านแอร์ข้างนอกมาก



แอร์ไทย,แอญี่ปุ่น,แอร์ฝรั่ง(อเมริกา)

ก่อนจบบทความ ข้อทิ้งท้าย ในส่วนของเรื่องยี่ห้อ ตราสินค้า ของเครื่องปรับอากาศ ที่มีทั้ง แอร์ยี่ห้อไทย-แอร์ยี่ห้อญี่ปุ่น-แอร์ยี่ห้ออเมริกา ในช่วงแรกเริ่มที่มีการใช้เครื่องปรับอากาศหรือแอร์ในประเทศไทย แอร์ที่ใช้กันช่วงเริ่มแรกในประเทศไทย เป็นสินค้าที่มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งเห็นได้ชัดคือมาจากทางฝั่ง อเมริกา ภายหลังจึงมีแอร์จากญี่ปุ่น เข้ามาตีตลาดในประเทศไทย จนสามารถแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากแอร์ฝั่งอเมริกาได้ แต่ในภายหลัง(20-25ปีที่แล้ว) ประเทศไทยเรา เริ่มซื้อลิขสิทธิ์จากบริษัทแม่ ต้นสังกัดที่อยู่ต่างประเทศ ผู้ประกอบการในไทยเราซื้อลิขสิทธิ์ของแอร์ชื่อดังหลายแบรนด์มาผลิตเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนอื่นๆขึ้นเองภายในประเทศ ปัจจุบันนี้(โดยประมาณ)กว่า90% ของยี่ห้อแอร์ทั้งหมดที่มีการจำหน่ายในประเทศไทย ล้วนผลิตในประเทศ หรือเรียกให้ทันสมัยก็ แอร์ MADE IN THAILAND ไทยทำไทยใช้ ไม่พอ ยังส่งออกนอกอีกด้วย น่าภาคภูมิใจไหม 


ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศในไทยเรา ขยายกำลังการผลิตมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดการแข่งขันสูง ทำให้ราคาของแอร์ในบ้านเรา เมื่อเทียบในปัจจุบันกับเมื่อประมาณ30ปีก่อน แอร์ในปัจจุบัน ขนาดที่เท่ากัน ราคาถูกลงมาก และแต่ละแบรนด์ก็มีเทคโนโลยีใหม่ๆแต่งเติมเสริมเข้าไปเพื่อทำการตลาด จะเห็นได้ว่า แอร์แต่ละยี่ห้อในปัจจุบันนี้ เร่งโหมโฆษณา ทำการตลาดแบบไม่มีใครยอมใคร

ดังนั้น การตัดสินใจซื้อเครื่องปรับอากาศแต่ละเครื่อง ควรใช้เหตุผลประกอบอื่นๆมาช่วยเสริม อย่ายึดติดในภาพลักษณ์ที่เห็นจากการโฆษณามากจนเกินไป คำโฆษณาชวนเชื่อไม่สามารถตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างได้ ทุกยี่ห้อย่อมโฆษณาเพื่อให้ภาพลักษณ์ของตนออกมาดีกันทั้งนั้น ดังนั้นควรหาเหตุผลอื่นๆมาประกอบการตัดสินใจด้วยเสมอ เพื่อที่คุณจะได้สินค้าที่เป็นที่น่าพอใจมากที่สุด


สุดท้ายนี้ของให้ทุกคน ที่คิดจะซื้อเครื่องปรับอากาศเครื่องใหม่ เลือกเครื่องปรับอากาศที่ตอบสนองความต้องการของคุณได้รอบด้านดังใจหมาย และไม่เจอเรื่องเกี่ยวกับปัญหากวนใจขณะใช้งาน

ค่าต่างๆที่เกี่ยวกับการทำความเย็นเบื้องต้น

ค่าต่างๆที่เกี่ยวกับการทำความเย็นเบื้องต้น

สำหรับบทความชุดนี้ จะขอหยิบยกเอาค่าที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิ ความดัน และสถานะของสสาร ซึ่งถือเป็นค่าพื้นฐานในทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการทำความเย็นเบื้องต้น


อุณหภูมิ มี
หน่วยวัดในระบบเอสไอ คือ เคลวิน (kelvin) 
แต่ที่เราใช้จะเป็นหน่วย องศาเซลเซียส (Celsius) สำหรับการวัดอุณหภูมิในระบบเมตริก 
องศาเซลเซียสเทียบกับองศาฟาเรนไฮต์ได้ดังนี้

องศาเซลเซียส (C) = (F-32)/1.8
องศาฟาเรนไฮต์ (F) = (1.8C)+32


อุณหภูมิสัมบูรณ์ (absolute temperature) คืออุณหภูมิที่นับจากอุณหภูมิศูนย์สัมบูรณ์ขึ้นมา 
ยกตัวอย่างเช่น องศาเคลวิน(K) เริ่มจากศูนย์สัมบูรณ์ที่อุณหภูมิ -273.15 องศาเซลเซียส
K = C+273
ระบบอังกฤษ อุณหภูมิสัมบูรณ์ คือ องศาเคลวิน (Rankine,R)
R = F+460 

อุณหภูมิกระเปาะแห้งและกระเปาะเปียก (DRY BULB AND WET BULE) 
อุณหภูมิกระเปาะแห้งวัดด้วยเทอร์โมมิเตอร์ธรรมดา เช่นที่บรรจุด้วยปรอท ส่วนอุณหภูมิกระเปาะเปียกวัดด้วยเทอร์โมมิเตอร์ซึ่งกระเปาะมีผ้าหุ้มจุ่มน้ำ ความชื้นที่ผ้าจะระเหยซึ่งมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความชื้นของอากาศ ถ้าระเหยมากหมายความถึงอากาศมีความชื้นน้อย อุณหภูมิก็จะลดลงได้น้อย 


อุณหภูมิอิ่มตัว คืออุณหภูมิที่ของเหลวจะเปลี่ยนเป็นไอ นั่นคืออุณหภูมิที่จุดเดือด ทั้งนี้เป็นอุณหภูมิเดียวกันกับอุณหภูมิที่ไอกลั่นตัวเป็นของเหลว
ความร้อน เป็นพลังงานรูปหนึ่ง หน่วยที่ใช้วัดมีหลายหน่วย เช่น บีทียู , กิโลแคลลอรี , จูล , เป็นต้น
ความร้อน 1 บีทียู คือปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำ 1 ปอนด์ มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 องศาฟาเรนไฮต์
ความร้อน 1 กิโลแคลลอรี คือ ปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำ 1 กิโลกรัม มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 องศาเซลเซียส
1 Kcal = 3.97 BTU

ชนิดของความร้อน
ความร้อนสัมผัส เป็นความร้อนที่สัมผัสได้ ซึ่งไปเพิ่มหรือลดอุณหภูมิ โดยวัดได้ด้วยเทอร์โมมิเตอร์ 
ความร้อนแฝง เป็นความร้อนที่เปลี่ยนสถานะของสสาร ถ้าวัดด้วยเทอร์โมมิเตอร์จะไม่พบการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ 
ความร้อนยวดยิ่ง เป็นความร้อนที่ให้กับสสารหลังจากสสารนั้นระเหยแล้ว อุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าอุณหภูมิอิ่มตัว คืออุณหภูมิซุปเปอร์ฮีต

ความร้อนจำเพาะ (SPECIFIC HEAT) คือ ปริมาณความร้อนที่ทำให้สสารมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 หน่วย เช่น สสารหนัก 1 ปอนด์ มีอุณหภูมอเพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 F ความร้อนที่ต้องใช้จะมีค่าตัวเลขเท่ากับค่าความร้อนจำเพาะนั้น เช่น น้ำยา R-22 มีค่าความร้อนจำเพาะ 0.26 บีทียูต่อปอนด์ต่อองศาฟาเรนไฮต์
สสารที่มีความร้อนจำเพาะน้อย ต้องการปริมาณความร้อนน้อยในการเพิ่มอุณหภูมิและจะเย็นได้เร็วดังเช่น น้ำและทองแดง ความร้อนจำเพาะในหน่วย Kcal/kg-C มีค่า 1 และ 0.99 ตามลำดับ ดังนั้นถ้าให้ความร้อนกับน้ำ และทองแดงเท่าๆ กัน จะพบว่าทองแดงจะร้อนมากกว่า และเมื่อหยุดทองแดงจะเย็นเร็วกว่า 


สถานะของสสาร
สถานะของสสารมีของแข็งของเหลวและก๊าซ 
ตัวอย่างเช่น น้ำจะแข็งตัวที่อุณหภูมิ 0 C (0 องศาเซลเซียส) และกลายเป็นไอที่อุณหภูมิ 100 C (100 องศาเซลเซียส) 

ในกระบวนการเปลี่ยนสถานะของสสาร บางครั้งจะมีการดึงเอาความร้อนที่อยู่รอบๆมาช่วยในการเปลี่ยนสถานะ ในทางกลับกัน การเปลี่ยนสถานะบางครั้ง ก็จะมีการคายความร้อนออกมารอบๆ ขึ้นอยู่กับชนิดของสสารและรูปแบบการเปลี่ยนสถานะ


ความดัน คือแรงที่กระทำต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ เช่น แรง 1 ปอนด์กระทำต่อพื้นที่ 1 ตารางนิ้ว ให้ความดัน 1 ปอนด์/ตารางนิ้ว 
ความดันแยกออกเป็นความดันสัมบูรณ์ ซึ่งเริ่มนับความดันจาก 0 คือจาก สูญญากาศ มักใช้ในสูตรทางวิศวกรรม ส่วนความดันเกจ เริ่มนับจากความดันบรรยากาศ ซึ่งเท่ากับศูนย์
Pabs = Pgauge+14.7

Patm(Atmospheric pressure, 1 atm) = 101.325 
kpa = 14.7 
psia = 1.0133 
bar = 2116.2 Ibf/ft2

สุญญากาศ คือระดับของความดันที่ต่ำกว่าความดันบรรยากาศ ในเกจวัดความดันที่ใช้งานกับเครื่องปรับอากาศ ให้ความดันบรรยากาศเท่ากับ 0 และความดันสุญญากาศสัมบูรณ์ คือไม่มีความดันเลยจริงๆ มีความดันเทียบเท่ากับความสูงของปรอท 760 มิลลิเมตร

การทำความเย็นเบื้องต้น






การทำความเย็น เป็นการถ่ายเทความร้อนออกจากบริเวณที่ต้องการทำความเย็น เพื่อที่จะให้พื้นที่บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิลดลงหรือให้เย็นลงตามที่เราต้องการ การทำความเย็นจึงไม่ใช้เป็นการทำลายความร้อน แต่เป็นการถ่ายเท หรือนำพาความร้อนออกไปนั่นเอง



หลักการทำความเย็นเบื้องต้น เปรียบง่ายๆก็เหมือนกับการที่เราไปวิ่งหรือออกกำลังกายจนมีเหงื่อออกเปียกชุ่ม เมื่อเรานั่งพักเราจะรู้สึกว่าร่างกายเย็นขึ้น เป็นผลมาจากของเหลวที่ร่างกายขับออกมาในรูปแบบเหงื่อเกิดการระเหยไปกับอากาศที่มะปะทะตัวเรา การระเหยของเหงื่อ ได้นำพาเอาความร้อนออกจากตัวเราไปด้วย หลักการทำความเย็นในเครื่องทำความเย็น และเครื่องปรับอากาศ ก็เปรียบได้เช่นเดียวกันนี้

การถ่ายเทความร้อนของร่างกายเรา จำเป็นต้องอาศัยตัวกลางในการถ่ายเทความร้อย ซึ่งนั่นก็คือของเหลวอย่างเหงื่อ มาเป็นตัวกลางในการช่วยนำพาความร้อน

ในเครื่องทำความเย็นก็เช่นกัน จำเป็นต้องอาศัยตัวกลางมาเป็นตัวช่วยนำพาความร้อน จากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่ง 
โดยที่ตัวกลางในระบบเครื่องทำความเย็นนั้น ก็คือสารทำความเย็น (Refrigerant) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “น้ำยา” ซึ่งเป็นตัวกลางในการถ่ายเทหรือนำพาความร้อน



สารทำความเย็น ในปัจจุบัน มีการผลิตขึ้นมาหลากหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิด ก็ได้ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นมา เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในระบบเครื่องทำความเย็นแบบต่างๆ แต่เดิมในอดีต สารทำความเย็น มีชื่อเรียกที่หลากหลาย ตามแต่ผู้ผลิตจะกำหนด โดยจะแบ่งออกหลักได้ 3 กลุ่ม 

1. กลุ่ม ฟรีออน (Freon) F-12,F-22 
2. กลุ่ม (Genetron) G-12,G-22  
3. กลุ่ม (Keiser) K-12,K-22 

ชื่อชนิดสารทำความเย็นที่หลากหลายเหล่านี้ ก่อให้เกิดความสับสนตามมา ส่งผลให้ สมาคมเครื่องเย็นแห่งสหรัฐอเมริกา (ASHRAE) ประกาศข้อตกลงอันเป็นมาตรฐานสากล กำหนดให้ใช้อักษร R ที่ย่อมาจากคำว่า Refrigerant แปลว่า สารทำความเย็น เป็นอักษรกำกับนำหน้าสารทำความเย็น โดยยังคงใช้เบอร์ของสารทำความเย็นตามเดิม จึงกลายเป็น R-12,R-22 ที่เราคุ้นหูกันอยู่ในทุกวันนี้ แต่ในบางตำราหรือเอกสารทางวิชาการแบบเก่าๆ เราอาจจะยังคงพบเห็นการใช้คำว่า Freon “F” อยู่บ้าง



สารทำความเย็นที่ใช้ในเครื่องทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศสามารถจำแนกได้เป็น 2 ชนิดหลักๆ คือ

- สารทำความเย็นภายในตู้เย็น,ตู้แช่ ใช้สารทำความเย็น R-12 แต่ในปัจจุบันได้มีการคิดค้นสารทำความเย็นเบอร์ใหม่ เพื่อนำมาทดแทนสารทำความเย็น R-12 อันเนื่องมาจาก สารทำความเย็น R-12 มีสารที่ทำให้เกิดปัญหาสภาวะเรือนกระจกเป็นองค์ประกอบ จึงมีการคิดค้นสารทำความเย็นเบอร์ R-134a ขึ้นมาทดแทน ตามกระแสตื่นตัวรักโลก ดังนั้น ตู้เย็น,ตู้แช่,ตู้น้ำเย็น ที่ผลิตขึ้นในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะใช้เป็นระบบ R-134a แต่ในส่วนสารทำความเย็น R-12 ปัจจุบันก็ยังมีการผลิตอยู่บางส่วน เพื่อรองรับงานซ่อมบำรุงในรายที่ใช้ระบบของ R-12

- สารทำความเย็นภายในเครื่องปรับอากาศ ใช้สารทำความเย็น R-22 แต่ในปัจจุบันได้มีการคิดค้นสารทำความเย็นเบอร์ใหม่ เพื่อนำมาทดแทนสารทำความเย็น R-22 อันเนื่องมาจาก สารทำความเย็น R-22 มีสารที่ทำให้เกิดปัญหาสภาวะเรือนกระจกเป็นองค์ประกอบ จึงมีการคิดค้นสารทำความเย็นเบอร์ R-410a ขึ้นมาทดแทน ตามกระแสตื่นตัวรักโลกอีกเช่นกัน แต่ในส่วนของเครื่องปรับอากาศ ปัจจุบันยังคงนิยมใช้ R-22 อยู่ ซึ่งสารทำความเย็นชนิดใหม่ R-410a ในขณะนี้ยังคงไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก อันเนื่องมาจากยังคงมีราคาสูงและกระบวนการขั้นตอนค่อนช้างยุ่งยาก การนำมาใช้งานในปัจจุบัน R-410a ส่วนใหญ่จะเห็นได้ว่าการนำไปใช้ในเครื่องปรับอากาศ จะนำมาใช้ในรุ่นท็อปของแต่ละยี่ห้อ เช่นในรุ่น Inverter




การหมุนเวียนในระบบการทำความเย็น

การเกิดความเย็นในระบบเครื่องทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศ จะมีรูปแบบการทำงานที่เป็นวัฏจักร 
โดยเริ่มจาก การที่สารทำความเย็นถูกทำการอัดด้วยเครื่องอัดสารทำความเย็น (Compressor) และเมื่อผ่านกระบวนการอัดแล้ว ก็จะได้สารทำความเย็นที่มีสถานะเป็นไอหรือแก๊ส มีแรงดันสูงและอุณหภูมิสูง

จากนั้นสารทำความเย็นที่ถูกอัดออกมานี้ ก็จะถูกส่งตามท่อทางเดินสารทำความเย็น ซึ่งจะนำสารทำความเย็นที่ถูกอัดออกมานี้ ไปเข้าสู่กระบวนการขั้นต่อไปซึ่งจะเป็นกระบวนการควบแน่น ด้วยชุดอุปกรณ์คอนเด็นเซอร์ (Condenser) 
และเมื่อสารทำความเย็นไหลผ่านกระบวนการควบแน่นแล้ว ก็จะเปลี่ยนสถานะ จากเดิมที่เป็นแก๊สแรงดันสูงและอุณหภูมิสูง เมื่อได้ไหลผ่านส่วนควบแน่นแล้ว ก็จะกลายเป็น สารทำความเย็นที่มีสถานะเป็นของเหลว แต่ก็ยังคงมีแรงดันสูงและยังคงมีอุณหภูมิสูงอยู่ 

เมื่อออกจากส่วนควบแน่น ในรูปของเหลวแรงดันสูงอุณหภูมิสูง สารทำความเย็นก็จะถูกส่งต่อผ่านทางท่อ เพื่อไปยังขั้นตอนต่อไปที่อุปกรณ์ควบคุมสารทำความเย็น (Refrigerant Control) หรือตัวควบคุมน้ำยา
และเมื่อสารทำความเย็นที่เป็นของเหลวแรงดันสูงและอุณหภูมิสูง ผ่านเข้ามายังอุปกรณ์ควบคุมสารทำความเย็น และในกระบวนการขั้นตอนนี้ ตัวของสารทำความเย็นจะถูกลดแรงดันให้ต่ำลง จากที่เป็นของเหลวแรงดันสูง ก็ถูกลดแรงดันให้ต่ำลงอย่างกระทันหัน การที่ของเหลวแรงดันสูงถูกลดแรงดันลงในทันที ก็ทำให้สารทำความเย็นในขณะนั้นระเหยเป็นไอหรือเป็นแก๊ส กระบวนการที่สารทำความเย็นระเหยนั้นจำเป็นต้องใช้ความร้อนเข้ามาช่วย ทำให้สารทำความเย็นในท่อ ดึงเอาความร้อนที่อยู่รอบๆเข้ามา ส่งผลให้มีอุณภูมิต่ำหรือความเย็นเกิดขึ้น ที่พื้นผิวของท่อทางเดินสารทำความเย็นในส่วนนี้   

และสารทำความเย็นที่ถูกลดแรงดันลงจากขั้นตอนที่ผ่านมา ซึ่งมีอุณหภูมที่ต่ำ และมีแรงดันต่ำ ก็จะถูกส่งต่อไปยังแผงทำความเย็น (Evaporator) ระหว่างที่ไหลผ่านแผงทำความเย็น สารทำความเย็นในระบบก็ยังมีการดึงเอาความร้อนรอบๆมาใช้อย่างต่อเนื่อง จึงเกิดเป็นอุณภูมิต่ำหรือความเย็นขึ้นในส่วนนี้

หลังจากกระบวนการข้างต้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว สารทำความเย็นที่ออกมาจากแผงทำความเย็น ก็จะถูกดูดเข้ามาผ่านกระบวนการอัดใหม่อีกครั้ง ด้วยเครื่องอัด หรือคอมเพรสเซอร์ และกระบวนการนับจากนั้น ก็จะเป็นไปตามวัฎจักร แบบเดียวกับที่อธิบายมาข้างต้น ซึ่งมันจะเป็นวัฏจักรการทำงานแบบนี้ ต่อเนื่องไปตลอดเวลา ที่เครื่องอัดยังทำงานอยู่








อุปกรณ์ที่จำเป็นในระบบการทำความเย็น

1. เครื่องอัด หรือ คอมเพรสเซอร์ ในกระบวนการทำความเย็นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คอมเพรสเซอร์นั้นเปรียบได้เหมือนหัวใจ ของระบบเครื่องทำความเย็น และเครื่องปรับอากาศ เนื่องจากเป็นส่วนสำคัญซึ่งทำหน้าที่ในการดูดและอัดสารทำความเย็น ให้ไหลเวียนอยู่ในระบบทำความเย็น เกิดเป็นวัฏจักรของการทำความเย็น

2. ส่วนควบแน่น หรือคอนเดนเซอร์ ทำหน้าที่ควบแน่นสารทำความเย็นที่ไหลผ่านเข้ามา ซึ่งเป็นผลให้สารทำความเย็นที่เข้ามาในสถานะแก๊ส ถูกกลั่นตัวเป็นของเหลว 
ในระบบเครื่องทำความเย็นที่เราคุ้นเคยกันอยู่นั้น กระบวนการของส่วนควบแน่นก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการระบายความร้อน ให้กับสารทำความเย็นที่ถูกอัดออกมาจากคอมเพรสเซอร์ มีสถานะเป็นแก๊ส อุณหภูมิสูงและแรงดันสูง แต่เมื่อผ่านกระบวนการควบแน่น ก็ถูกจะระบายความร้อนส่วนหนึ่งออกไป และจะกลั่นตัวเป็นของเหลว แต่ยังคงมีความดัน และอุณหภูมิสูงอยู่

3. อุปกรณ์ควบคุมน้ำยา ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของสารทำความเย็นเหลว ก่อนที่จะผ่านเข้ามาในอีวาปอเรเตอร์ ให้มีความดันต่ำลง การที่สารทำความเย็นมีความดันต่ำจะสามารถระเหยกลายเป็นไอได้ง่ายเมื่อได้รับความร้อนเพียงเล็กน้อย 
ที่นิยมใช้กันทั่วไปจะป็นแบบแคปทิ้ว หรือ เอกซ์แพนชั่นวาล์ว

4. อีวาปอเรเตอร์ เป็นส่วนที่สารทำความเย็นแรงดันต่ำและอุณหภูมิต่ำจะเข้ามา และไหลวนตามท่อที่ขดไว้ในส่วนนี้ ซึ่งจะดูดความร้อนในห้องหรือในพื้นที่ ที่ต้องการทำความเย็น โดยที่สารทำความเย็น ที่เข้ามาในอีวาปอเรเตอร์ จะดูดเอาความร้อนบริเวณรอบๆเข้ามา ทำให้บริเวณรอบๆนี้มีอุณหภูมิต่ำลง

5. รีซีฟเวอร์ หรือถังพักสารทำความเย็น เป็นอุปกรณ์ที่ต่อพวงขึ้นสำหรับระบบทำความเย็นขนาดใหญ่ ถ้าเป็นระบบทำความเย็นขนาดเล็กก็ไม่จำเป็น การที่ระบบทำความเย็นขนาดใหญ่จำเป็นต้องมี ก็เพื่อให้สารทำความเย็นที่มีสถานะเป็นของเหลวมีปริมาณมากเพียงพอที่จะจ่ายให้ไประเหยที่อีวาปอเรเตอร์



ท่อนำสารความเย็นในระบบเครื่องทำความเย็น

ท่อซักชั่น (Suction line) เป็นท่อทางเดินสารทำความเย็นที่ต่ออยู่ระหว่างอีวาพอเรเตอร์กับทางดูดของคอมเพรสเซอร์ สารทำความเย็นในสถานะแก๊ส อุณหภูมิและความดันต่ำ จากอีวาพอเรเตอร์จะถูกดูดผ่านท่อซักชั่นเข้าไปยังคอมเพรเซอร์

ท่อดิสชาร์จ (Discharge line) เป็นท่อทางเดินสารทำความความเย็นที่ต่ออยู่ระหว่างท่อทางอัดของคอมเพรสเซอร์กับคอนเดนเซอร์ สารทำความเย็นในสถานะที่เป็นแก๊สซึ่งถูกคอมเพรสเซอร์อัดให้มีความดันและอุณหภูมิสูงขึ้นจะถูกส่งไปยังคอนเดนเซอร์โดยผ่านท่อนี้