เครื่องปรับอากาศ (Air conditioner) หรือนิยมเรียกสั้นๆว่า...แอร์ ปัจจุบันเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทหนึ่งที่ถือว่าจำเป็นในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เพราะอากาศบนโลเราร้อนขึ้นทุกวัน
ประเทศไทยของเราเป็นเมืองร้อน จึงมีความจำเป็นและความต้องการที่จะใช้เครื่องปรับอากาศในจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการความสะดวกสบายแก่ร่างกายตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุณหภูมิและสภาพอากาศโดยรอบๆ การทำให้อุณหภูมิหรืออากาศรอบตัวมีความสบายแก่ร่างกาย ทำได้โดยการใช้เครื่องปรับอากาศหรือแอร์ มาเป็นตัวทำให้อุณหภูมิโดยรอบมีความเย็นสบายเหมาะสมต่อร่างกาย และมีความชื้นในระดับที่เหมาะสม
เครื่องปรับอากาศที่ดี จึงต้องสามารถปรับอุณหภูมิในห้อง ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามที่ต้องการรวมทั้งการรักษาระดับอุณหภูมิให้คงที่ และยังต้องรักษาระดับความชื้นในอากาศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อร่างการ

ระบบปรับอากาศเพื่อความสบายจะประกอบไปด้วย
1. การปรับอุณหภูมิ (Temperature) ร่างกายคนเราโดยเฉลี่ยแล้ว จะมีอุณภูมิร่างกายปกติ อยู่ที่ประมาณ 36.6 องศาเซลเซียส ในการปรับอากาศให้เหมาะสมแก่ร่างกายของมนุษย์ตามหลัก จะอยู่ที่ประมาณ 22.2 องศาเซลเซียส แต่ในมาตรการของรัฐบาลและกระทรวงพลังงาน ได้มีการรณรงค์ให้ปรับอุณภูมิของเครื่องปรับอากาศเพื่อการประหยัดพลังงานที่ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมแก่ร่างกาย
2. การปรับความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity) ในห้องปรับอากาศ ระดับความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสมแก่ร่างกายของคนเรา ซึ่งเป็นระดับที่ให้ความสบายและไม่ส่งผลเสียต่อน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ผิวมากเกินไป จะมีค่าความชื้นสัมพัทธ์อยู่ที่ปริมาณ 50-55% ซึ่งหากมีความชื้นสัมพัทธ์มากเกินไป จะทำให้รู้สึกไม่สบายตัว และเอื้อประโยชน์ในการเติบโตของเชื้อรา ส่วนหากมีปริมาณความชื้นสัมพัทธ์น้อยเกินไป ก็จะทำให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงในชั้นเซลล์ผิวหนังมากเกินไป จนทำให้ผิวแห้ง แตกลอก ไม่สบายตัว

ความจำเป็นในการใช้เครื่องปรับอากาศ
สภาพอากาศในประเทศไทย ที่เป็นเมืองร้อน ประกอบกับภาวะโลกร้อน อีกทั้งชีวิตคนเมือง ที่ต้องดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวและมลภาวะแวดล้อมที่มีอยู่มาก สังคมเมืองที่มีตึกสูงรายล้อม จะเปิดประตูหน้าต่างให้ลมธรรมชาติพัดผ่าน เหมือนตามบ้านเรือนในชนบท ก็ย่อมเป็นไปได้ยาก ทำให้เครื่องปรับอากาศ จัดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันของหลายๆคน

ราคาของเครื่องปรับอากาศในปัจจุบัน
ในอดีต เมื่อประมาณ 20-30 ปีที่แล้ว หลายๆคนก็ต่างยอมรับ ว่าเครื่องปรับอากาศเป็นสินค้าที่ฟุ่มเฟือย และมีราคาสูง ผู้เขียนขอยกตัวอย่างราคาเครื่องปรับอากาศเมื่อ พ.ศ.2528 ขอหยิบยกเครื่องปรับอากาศ ขนาด 12,000 BTU ยี่ห้อ DAIKIN ซึ่งในตอนนั้น มีราคาอยู่ที่ ประมาณ 38,000 บาท เมื่อนำมาเทียบกับราคาในปัจจุบัน จะพบว่าราคาที่วางขายในปัจจุบัน เป็นราคาที่ถูกลงมามากพอสมควร และ เมื่อมองไปในอนาคต ผู้เขียนก็คาดว่า ราคาเครื่องปรับอากาศ ก็จะยิ่งลดลง เพราะอันเนื่องมาจาก ความต้องการใช้เครื่องปรับอากาศที่มีมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันกันภายในวงการเครื่องปรับอากาศ เทคโนโลยีใหม่ๆที่ถูกจับเอามาใส่ รวมทั้งการแข่งขันกันตัดราคาของผู้ผลิต ทำให้ราคาเครื่องปรับอากาศถูกลงเรื่อยๆ
เครื่องปรับอากาศที่ดี จึงต้องสามารถปรับอุณหภูมิในห้อง ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามที่ต้องการรวมทั้งการรักษาระดับอุณหภูมิให้คงที่ และยังต้องรักษาระดับความชื้นในอากาศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อร่างการ

ระบบปรับอากาศเพื่อความสบายจะประกอบไปด้วย
1. การปรับอุณหภูมิ (Temperature) ร่างกายคนเราโดยเฉลี่ยแล้ว จะมีอุณภูมิร่างกายปกติ อยู่ที่ประมาณ 36.6 องศาเซลเซียส ในการปรับอากาศให้เหมาะสมแก่ร่างกายของมนุษย์ตามหลัก จะอยู่ที่ประมาณ 22.2 องศาเซลเซียส แต่ในมาตรการของรัฐบาลและกระทรวงพลังงาน ได้มีการรณรงค์ให้ปรับอุณภูมิของเครื่องปรับอากาศเพื่อการประหยัดพลังงานที่ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมแก่ร่างกาย
2. การปรับความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity) ในห้องปรับอากาศ ระดับความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสมแก่ร่างกายของคนเรา ซึ่งเป็นระดับที่ให้ความสบายและไม่ส่งผลเสียต่อน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ผิวมากเกินไป จะมีค่าความชื้นสัมพัทธ์อยู่ที่ปริมาณ 50-55% ซึ่งหากมีความชื้นสัมพัทธ์มากเกินไป จะทำให้รู้สึกไม่สบายตัว และเอื้อประโยชน์ในการเติบโตของเชื้อรา ส่วนหากมีปริมาณความชื้นสัมพัทธ์น้อยเกินไป ก็จะทำให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงในชั้นเซลล์ผิวหนังมากเกินไป จนทำให้ผิวแห้ง แตกลอก ไม่สบายตัว

ความจำเป็นในการใช้เครื่องปรับอากาศ
สภาพอากาศในประเทศไทย ที่เป็นเมืองร้อน ประกอบกับภาวะโลกร้อน อีกทั้งชีวิตคนเมือง ที่ต้องดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวและมลภาวะแวดล้อมที่มีอยู่มาก สังคมเมืองที่มีตึกสูงรายล้อม จะเปิดประตูหน้าต่างให้ลมธรรมชาติพัดผ่าน เหมือนตามบ้านเรือนในชนบท ก็ย่อมเป็นไปได้ยาก ทำให้เครื่องปรับอากาศ จัดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันของหลายๆคน

ราคาของเครื่องปรับอากาศในปัจจุบัน
ในอดีต เมื่อประมาณ 20-30 ปีที่แล้ว หลายๆคนก็ต่างยอมรับ ว่าเครื่องปรับอากาศเป็นสินค้าที่ฟุ่มเฟือย และมีราคาสูง ผู้เขียนขอยกตัวอย่างราคาเครื่องปรับอากาศเมื่อ พ.ศ.2528 ขอหยิบยกเครื่องปรับอากาศ ขนาด 12,000 BTU ยี่ห้อ DAIKIN ซึ่งในตอนนั้น มีราคาอยู่ที่ ประมาณ 38,000 บาท เมื่อนำมาเทียบกับราคาในปัจจุบัน จะพบว่าราคาที่วางขายในปัจจุบัน เป็นราคาที่ถูกลงมามากพอสมควร และ เมื่อมองไปในอนาคต ผู้เขียนก็คาดว่า ราคาเครื่องปรับอากาศ ก็จะยิ่งลดลง เพราะอันเนื่องมาจาก ความต้องการใช้เครื่องปรับอากาศที่มีมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันกันภายในวงการเครื่องปรับอากาศ เทคโนโลยีใหม่ๆที่ถูกจับเอามาใส่ รวมทั้งการแข่งขันกันตัดราคาของผู้ผลิต ทำให้ราคาเครื่องปรับอากาศถูกลงเรื่อยๆ
และเมื่อไม่นานมานี้ทางคณะรัฐมนตรี ได้ประการงดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก ที่ใช้กันภายในครัวเรือน ก็ยิ่งทำให้ราคาเครื่องปรับอากาศถูกลงมาอีกในระดับหนึ่ง เป็นผลดีแก่ผู้บริโภค ที่มีตัวเลือกเพิ่มขึ้น ในราคาที่ลดลง และยังเป็นการกระตุ้นตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทเครื่องปรับอากาศให้ฟื้นตัว หลังจากเจอพิษเศรษฐกิจเล่นงาน

การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ ให้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
ถึงแม้จะกล่าวว่าเครื่องปรับอากาศ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ในปัจจุบัน แต่ราคาค่าตัวของเครื่องปรับอากาศส่วนใหญ่ ก็ยังจัดได้ว่าไม่ได้มีราคาอยู่ในระดับที่ถูก เครื่องปรับอากาศจึงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เรียกได้ว่าได้รับความนิยมหลักๆในกลุ่มครอบครัวที่มีฐานะปานกลางไปจนถึงฐานะร่ำรวย
เนื่องจากเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กที่ใช้กันตามบ้านเรือน มีราคาที่ไม่ได้เรียกว่าถูกๆ แถมยังกินกระแสไฟอยู่ในระดับที่ไม่น้อยเลย ในเรื่องค่าใช้จ่ายของเครื่องปรับอากาศ มีค่าใช้จ่ายที่เรียกได้ว่าตลอดอายุการใช้งาน มีต้นทุนในการลงทุนซื้อ อีกทั้งยังค่าใช้จ่ายรายปีสำหรับการล้างทำความสะอาด ในระยะเวลาที่เหมาะสมคือล้างทุกๆ 6 เดือนหรือปีละ 2 ครั้ง ยังไม่รวมไปถึงกรณีที่ใช้เครื่องปรับอากาศด้อยคุณภาพ มีปัญหากวนใจตามมาเสมอ ส่งผลให้ต้องจ่ายเงินค่าบริการซ่อมแซมไม่รู้จบในกรณีที่มีปัญหามากวนใจ
เพราะราคาของเครื่องปรับอากาศที่วางขายกัน ไม่ได้มีราคาถูก ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อเครื่องปรับอากาศ ควรพิจารณาในหลายๆเรื่อง เพี่อที่จะได้ความเย็นสบายตามความต้องการ บนความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปนั่นเอง
รูปแบบเครื่องปรับอากาศ
ก่อนที่จะซื้อเครื่องปรับอากาศเครื่องใหม่สักเครื่อง ก่อนอื่นต้องดูรูปแบบและขนาดของห้องที่ต้องการใช้เครื่องปรับอากาศ เพื่อนำมาพิจารณาเลือกเครื่องปรับอากาศรูปแบบที่เหมาะสมกับการใช้งานและตรงตามความต้องการของคุณ เพราะเครื่องปรับอากาศในท้องตลาด ที่วางขายกันในปัจจุบัน ทางผู้ผลิต ได้มีการออกแบบรูปทรงดีไซด์ ที่หลากหลาย ตามความต้องการและพื้นที่ในการติกตั้ง หากลองมองย้อนกลับไปในสมัยก่อน จะเห็นรูปแบบเครื่องปรับอากาศที่มีหน้าตาเหมือนๆกันไม่แตกต่างกันมาก รูปแบบในอดีต ที่มีรูปทรงเป็นตู้เหล็กเหลี่ยมๆ ต่างกับรูปแบบและดีไซด์ของเครื่องปรับอากาศในปัจจุบัน ที่ได้มีการพัฒนาให้สวยงาม ลงตัวกับการตกแต่งภายในอาคาร แตกต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิง

เครื่องปรับอากาศแบบต่างๆที่ใช้กันภายในครัวเรือน
1. เครื่องปรับอากาศแบบเคลื่อนที่(PORTABIE)
เป็นเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก มีขนาดทำความเย็นให้เลือกอยู่ไม่มาก ประมาณ 6,000 - 15,000 BTU โดยตัวเครื่องจะรวมเอาอุปกรณ์ทุกชิ้นอยู่ในกล่องเดียวกัน
ข้อดี
- ใช้งานได้ทันที
- เหมาะสมที่จะใช้งานในพื้นที่ ที่ไม่อณุญาติให้ทำการดัดแปลงตัวอาคารเพื่อติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เช่น หอพัก
- ใช้เป็นแอร์สำรองในกรณีแอร์หลักเสีย
- ใช้สำหรับงานภาคสนาม เช่น เตนท์พักค้างแรม,งานพิธี หรือ ส่วนแสดงสินค้า
ข้อเสีย
- มีขนาดทำความเย็นน้อย
- ต้องหาที่ระบายความร้อนโดยการต่อท่อนำความร้อนออกไปทิ้ง
- ต้องคอยถอดกล่องระบายน้ำทิ้งไปทิ้งด้วยตนเอง
- การกระจายความเย็นที่ทำได้เฉพาะจุด
- เสียงค่อนข้างดัง เพราะมีการรวมเอาคอมเพรสเซอร์ไว้ในกล่องเดียวกัน

2.เครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่าง(WINDOW TYPE)
เป็นเครื่องปรับอากาศที่ได้รับความนิยมในอดีต รูปแบบและข้อดีข้อเสียจะคล้ายคลึงกับเครื่องปรับอากาศแบบเคลื่อนที่ เพราะมีการรวมเอาอุปกรณ์ทุอย่างไว้ในชุดเดียวกัน แต่ต่างกันที่เครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่างจะติดตั้งยึดไว้กับวงกบหน้าต่าง แล้วหันด้านท้ายซึ่งเป็นด้านลมร้อนและด้านระบายน้ำทิ้งออกนอกอาคาร มีขนาดทำความเย็นที่ 6,000 - 24,000 BTU ปัจจุบันได้ลดความนิยมใช้ลงไปมากเพราะข้อด้อยในหลายๆด้าน

3.เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน(SPLIT SYSTEM)
เป็นเครื่องปรับอากาศระบบที่นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะมีการแยกเป็น2ส่วนหลักๆคือ ส่วนคอยล์ร้อนที่ส่วนใหญ่มีปัญหาด้านเสียงดัง นำไปวางไว้ภายนอกอาคาร ในคอยล์ร้อนจะประกอบด้วย คอมเพรสเซอร์ และส่วนของเครื่องควบแน่น+พัดลมเครื่องควบแน่น ในส่วนที่อยู่ภายในอาคารจะเป็นส่วนของคอยล์เย็น ประกอบไปด้วย อีวาปอเรเตอร์(แผงเย็น)และพัดลมโบลเวอร์ของอีวาปอเรเตอร์ โดยมีท่อนำสายทำความเย็นซึ่งนิยมใช้เป็นท่อทองแดงเชื่มต่อระบบให้ถึงกัน และมีการเดินท่อน้ำทิ้งจากคอยล์เย็นออกไปทิ้งนอกอาคาร เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนจะมีการผลิตออกมาหลายรูปแบบเพื่อเอื้อประโยชน์ในพื้นที่ใช้สอยภายในห้อง โดยแบ่งออกเป็น

3.1 เครื่องปรับอากาศแยกส่วนแบบติดผนัง(WALL TYPE)
ข้อดี
- ทำงานเงียบ
- ใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อย
- น้ำหนักเบา
- มีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 6,000 - 36,000 BTU
- รูปทรงสวยงามและมีให้เลือกหลากหลาย
- มีฟังชั่นการทำงานและลูกเล่นเยอะ
ข้อเสีย
- การติดตั้งทำได้เฉพาะบนผนังเท่านั้น
- การส่งลมไม่ไกลและกระจายแรงลมน้อย เนื่องจากใบพัดมีขนาดเล็ก

3.2 เครื่องปรับอากาศแยกส่วนแบบตั้ง-แขวน((Floor/Ceiling Type))
ข้อดี
- เย็นเร็ว เพราะ การกระจายลมเย็นทำได้ไกลและทั่วถึง
- เลือกที่จะติดตั้งโดยแขวนแพดานหรือตั้งพื้นได้ตามสะดวก
- เหมาะกับห้องขนาดใหญ่เพราะมีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 12,000 ถึง 60,000 BTU
- ถาดรองรับน้ำทิ้งขนาดใหญ่ ระบายน้ำได้ดี
ข้อเสีย
- มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก
- มีฟังชั่นการทำงานน้อย ลูกเล่นไม่มาก
- ใช้อุปกรณ์จับยึดที่ต้องรับน้ำหนักได้มากๆ และใช้พื้นที่ติดตั้งมาก
- มีเสียงลมดังกว่า

3.3 เครื่องปรับอากาศแยกส่วนแบบติดเพดาน(CEILING TYPE)
ข้อดี
- รูปทรงสวยงาม ทันสมัย เนื่องจากมีส่วนโผล่ออกมาใต้ฝ้าเพดานเพียงแค่ฝาครอบบางๆ
- เหมาะกับการตกแต่งภายในที่ไม่ต้องการให้เห็นตัวเครื่องปรับอากาศ
- กระจายลมได้4ทิศทาง
ข้อเสีย
- มีราคาสูง
- การติดตั้งทำได้ยาก
- ต้องติดตั้งโดยช่วงผู้ชำนาญ
- ระบบระบายน้ำทิ้งใช้ปั๊มระบายออก เสี่ยงต่อกรณีปั๊มไม่ทำงาน น้ำล้นออกมา ฝ้าเพดานงามๆได้รับความเสียหาย
***แต่รุ่นใหม่ๆในปัจจุบัน หลายยี่ห้อมีฟังก์ชั่นไฮเทคขึ้น เพื่อช่วยป้องกันความเสียหายจากปั๊มน้ำทิ้งไม่ทำงาน กล่าวคือ เมื่อปั๊มน้ำทิ้งทำงานผิดพลาดหรือไม่ทำงาน เบื้องต้นระบบจะสั่งการให้เครื่องปรับอากาศหยุดการทำงานก่อนที่ระดับน้ำจะเพิ่มสูงจนล้น เป็นการป้องกันความเสียหาย***
- การบำรุงรักษาเช่นการล้างการซ่อม ทำได้ยาก
- หากท่อแอร์มีปัญหา กรณีที่เปิดฝ้าหรือขึ้นไปบนฝ้าไม่ได้ ต้องกรีดฝ้าเพดาน งานบานปลาย
- ค่าบริการแพงกว่าแอร์แบบทั่วไป

3.4 เครื่องปรับอากาศแยกส่วนแบบคอยล์เปลือยซ่อนในฝ้าเพดาน(HORIZONTAL TYPE)
ข้อดี
- ซ่อนในฝ้าเพดานเพื่อความเรียบร้อย สวยงาม ดูทันสมัย
- เหมาะสำหรับการตกแต่งภายใน
ข้อเสีย
- มีราคาสูง
- การติดตั้งทำได้ยาก
- ต้องติดตั้งโดยช่วงผู้ชำนาญ
- ระบบระบายน้ำทิ้งใช้ปั๊มระบายออก เสี่ยงต่อกรณีปั๊มไม่ทำงาน น้ำล้นออกมา ฝ้าเพดานงามๆได้รับความเสียหาย
- การบำรุงรักษาเช่นการล้างการซ่อม ทำได้ยาก
- หากท่อแอร์มีปัญหา กรณีที่เปิดฝ้าหรือขึ้นไปบนฝ้าไม่ได้ ต้องกรีดฝ้าเพดาน งานบานปลาย
- ค่าบริการแพงกว่าแอร์แบบทั่วไป

4.เครื่องปรับอากาศแบบชีลเลอร์(CHILLED TYPE)
เป็นเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ ใช้ในระบบอุตสาหกรรมหรือระบบปรับอากาศเพื่อการพานิช เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ซึ่งเป็นแอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้การระบายความร้อนด้วยน้ำและอากาศ ใช้การส่งความเย็นโดยการปั๊มน้ำเย็น ที่มีอุณหภูมิประมาณ 5-10 องศาเซลเซียส ส่งไปทางท่อน้ำเย็นเข้าสู่จุดกระจายความเย็นในบริเวณต่างๆของอาคาร ซึ่งเครื่องปรับอากาศแบบชีลเลอร์เป็นเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้วิศวกรด้านเครื่องกลเป็นผู้ออกแบบระบบ

การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ ให้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
ถึงแม้จะกล่าวว่าเครื่องปรับอากาศ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ในปัจจุบัน แต่ราคาค่าตัวของเครื่องปรับอากาศส่วนใหญ่ ก็ยังจัดได้ว่าไม่ได้มีราคาอยู่ในระดับที่ถูก เครื่องปรับอากาศจึงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เรียกได้ว่าได้รับความนิยมหลักๆในกลุ่มครอบครัวที่มีฐานะปานกลางไปจนถึงฐานะร่ำรวย
เนื่องจากเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กที่ใช้กันตามบ้านเรือน มีราคาที่ไม่ได้เรียกว่าถูกๆ แถมยังกินกระแสไฟอยู่ในระดับที่ไม่น้อยเลย ในเรื่องค่าใช้จ่ายของเครื่องปรับอากาศ มีค่าใช้จ่ายที่เรียกได้ว่าตลอดอายุการใช้งาน มีต้นทุนในการลงทุนซื้อ อีกทั้งยังค่าใช้จ่ายรายปีสำหรับการล้างทำความสะอาด ในระยะเวลาที่เหมาะสมคือล้างทุกๆ 6 เดือนหรือปีละ 2 ครั้ง ยังไม่รวมไปถึงกรณีที่ใช้เครื่องปรับอากาศด้อยคุณภาพ มีปัญหากวนใจตามมาเสมอ ส่งผลให้ต้องจ่ายเงินค่าบริการซ่อมแซมไม่รู้จบในกรณีที่มีปัญหามากวนใจ
เพราะราคาของเครื่องปรับอากาศที่วางขายกัน ไม่ได้มีราคาถูก ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อเครื่องปรับอากาศ ควรพิจารณาในหลายๆเรื่อง เพี่อที่จะได้ความเย็นสบายตามความต้องการ บนความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปนั่นเอง
รูปแบบเครื่องปรับอากาศ
ก่อนที่จะซื้อเครื่องปรับอากาศเครื่องใหม่สักเครื่อง ก่อนอื่นต้องดูรูปแบบและขนาดของห้องที่ต้องการใช้เครื่องปรับอากาศ เพื่อนำมาพิจารณาเลือกเครื่องปรับอากาศรูปแบบที่เหมาะสมกับการใช้งานและตรงตามความต้องการของคุณ เพราะเครื่องปรับอากาศในท้องตลาด ที่วางขายกันในปัจจุบัน ทางผู้ผลิต ได้มีการออกแบบรูปทรงดีไซด์ ที่หลากหลาย ตามความต้องการและพื้นที่ในการติกตั้ง หากลองมองย้อนกลับไปในสมัยก่อน จะเห็นรูปแบบเครื่องปรับอากาศที่มีหน้าตาเหมือนๆกันไม่แตกต่างกันมาก รูปแบบในอดีต ที่มีรูปทรงเป็นตู้เหล็กเหลี่ยมๆ ต่างกับรูปแบบและดีไซด์ของเครื่องปรับอากาศในปัจจุบัน ที่ได้มีการพัฒนาให้สวยงาม ลงตัวกับการตกแต่งภายในอาคาร แตกต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิง

เครื่องปรับอากาศแบบต่างๆที่ใช้กันภายในครัวเรือน
1. เครื่องปรับอากาศแบบเคลื่อนที่(PORTABIE)
เป็นเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก มีขนาดทำความเย็นให้เลือกอยู่ไม่มาก ประมาณ 6,000 - 15,000 BTU โดยตัวเครื่องจะรวมเอาอุปกรณ์ทุกชิ้นอยู่ในกล่องเดียวกัน
ข้อดี
- ใช้งานได้ทันที
- เหมาะสมที่จะใช้งานในพื้นที่ ที่ไม่อณุญาติให้ทำการดัดแปลงตัวอาคารเพื่อติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เช่น หอพัก
- ใช้เป็นแอร์สำรองในกรณีแอร์หลักเสีย
- ใช้สำหรับงานภาคสนาม เช่น เตนท์พักค้างแรม,งานพิธี หรือ ส่วนแสดงสินค้า
ข้อเสีย
- มีขนาดทำความเย็นน้อย
- ต้องหาที่ระบายความร้อนโดยการต่อท่อนำความร้อนออกไปทิ้ง
- ต้องคอยถอดกล่องระบายน้ำทิ้งไปทิ้งด้วยตนเอง
- การกระจายความเย็นที่ทำได้เฉพาะจุด
- เสียงค่อนข้างดัง เพราะมีการรวมเอาคอมเพรสเซอร์ไว้ในกล่องเดียวกัน

___________________________________________________
2.เครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่าง(WINDOW TYPE)
เป็นเครื่องปรับอากาศที่ได้รับความนิยมในอดีต รูปแบบและข้อดีข้อเสียจะคล้ายคลึงกับเครื่องปรับอากาศแบบเคลื่อนที่ เพราะมีการรวมเอาอุปกรณ์ทุอย่างไว้ในชุดเดียวกัน แต่ต่างกันที่เครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่างจะติดตั้งยึดไว้กับวงกบหน้าต่าง แล้วหันด้านท้ายซึ่งเป็นด้านลมร้อนและด้านระบายน้ำทิ้งออกนอกอาคาร มีขนาดทำความเย็นที่ 6,000 - 24,000 BTU ปัจจุบันได้ลดความนิยมใช้ลงไปมากเพราะข้อด้อยในหลายๆด้าน

___________________________________________________
3.เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน(SPLIT SYSTEM)
เป็นเครื่องปรับอากาศระบบที่นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะมีการแยกเป็น2ส่วนหลักๆคือ ส่วนคอยล์ร้อนที่ส่วนใหญ่มีปัญหาด้านเสียงดัง นำไปวางไว้ภายนอกอาคาร ในคอยล์ร้อนจะประกอบด้วย คอมเพรสเซอร์ และส่วนของเครื่องควบแน่น+พัดลมเครื่องควบแน่น ในส่วนที่อยู่ภายในอาคารจะเป็นส่วนของคอยล์เย็น ประกอบไปด้วย อีวาปอเรเตอร์(แผงเย็น)และพัดลมโบลเวอร์ของอีวาปอเรเตอร์ โดยมีท่อนำสายทำความเย็นซึ่งนิยมใช้เป็นท่อทองแดงเชื่มต่อระบบให้ถึงกัน และมีการเดินท่อน้ำทิ้งจากคอยล์เย็นออกไปทิ้งนอกอาคาร เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนจะมีการผลิตออกมาหลายรูปแบบเพื่อเอื้อประโยชน์ในพื้นที่ใช้สอยภายในห้อง โดยแบ่งออกเป็น

3.1 เครื่องปรับอากาศแยกส่วนแบบติดผนัง(WALL TYPE)
ข้อดี
- ทำงานเงียบ
- ใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อย
- น้ำหนักเบา
- มีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 6,000 - 36,000 BTU
- รูปทรงสวยงามและมีให้เลือกหลากหลาย
- มีฟังชั่นการทำงานและลูกเล่นเยอะ
ข้อเสีย
- การติดตั้งทำได้เฉพาะบนผนังเท่านั้น
- การส่งลมไม่ไกลและกระจายแรงลมน้อย เนื่องจากใบพัดมีขนาดเล็ก

___________________________________________________
3.2 เครื่องปรับอากาศแยกส่วนแบบตั้ง-แขวน((Floor/Ceiling Type))
ข้อดี
- เย็นเร็ว เพราะ การกระจายลมเย็นทำได้ไกลและทั่วถึง
- เลือกที่จะติดตั้งโดยแขวนแพดานหรือตั้งพื้นได้ตามสะดวก
- เหมาะกับห้องขนาดใหญ่เพราะมีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 12,000 ถึง 60,000 BTU
- ถาดรองรับน้ำทิ้งขนาดใหญ่ ระบายน้ำได้ดี
ข้อเสีย
- มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก
- มีฟังชั่นการทำงานน้อย ลูกเล่นไม่มาก
- ใช้อุปกรณ์จับยึดที่ต้องรับน้ำหนักได้มากๆ และใช้พื้นที่ติดตั้งมาก
- มีเสียงลมดังกว่า

___________________________________________________
3.3 เครื่องปรับอากาศแยกส่วนแบบติดเพดาน(CEILING TYPE)
ข้อดี
- รูปทรงสวยงาม ทันสมัย เนื่องจากมีส่วนโผล่ออกมาใต้ฝ้าเพดานเพียงแค่ฝาครอบบางๆ
- เหมาะกับการตกแต่งภายในที่ไม่ต้องการให้เห็นตัวเครื่องปรับอากาศ
- กระจายลมได้4ทิศทาง
ข้อเสีย
- มีราคาสูง
- การติดตั้งทำได้ยาก
- ต้องติดตั้งโดยช่วงผู้ชำนาญ
- ระบบระบายน้ำทิ้งใช้ปั๊มระบายออก เสี่ยงต่อกรณีปั๊มไม่ทำงาน น้ำล้นออกมา ฝ้าเพดานงามๆได้รับความเสียหาย
***แต่รุ่นใหม่ๆในปัจจุบัน หลายยี่ห้อมีฟังก์ชั่นไฮเทคขึ้น เพื่อช่วยป้องกันความเสียหายจากปั๊มน้ำทิ้งไม่ทำงาน กล่าวคือ เมื่อปั๊มน้ำทิ้งทำงานผิดพลาดหรือไม่ทำงาน เบื้องต้นระบบจะสั่งการให้เครื่องปรับอากาศหยุดการทำงานก่อนที่ระดับน้ำจะเพิ่มสูงจนล้น เป็นการป้องกันความเสียหาย***
- การบำรุงรักษาเช่นการล้างการซ่อม ทำได้ยาก
- หากท่อแอร์มีปัญหา กรณีที่เปิดฝ้าหรือขึ้นไปบนฝ้าไม่ได้ ต้องกรีดฝ้าเพดาน งานบานปลาย
- ค่าบริการแพงกว่าแอร์แบบทั่วไป

___________________________________________________
3.4 เครื่องปรับอากาศแยกส่วนแบบคอยล์เปลือยซ่อนในฝ้าเพดาน(HORIZONTAL TYPE)
ข้อดี
- ซ่อนในฝ้าเพดานเพื่อความเรียบร้อย สวยงาม ดูทันสมัย
- เหมาะสำหรับการตกแต่งภายใน
ข้อเสีย
- มีราคาสูง
- การติดตั้งทำได้ยาก
- ต้องติดตั้งโดยช่วงผู้ชำนาญ
- ระบบระบายน้ำทิ้งใช้ปั๊มระบายออก เสี่ยงต่อกรณีปั๊มไม่ทำงาน น้ำล้นออกมา ฝ้าเพดานงามๆได้รับความเสียหาย
- การบำรุงรักษาเช่นการล้างการซ่อม ทำได้ยาก
- หากท่อแอร์มีปัญหา กรณีที่เปิดฝ้าหรือขึ้นไปบนฝ้าไม่ได้ ต้องกรีดฝ้าเพดาน งานบานปลาย
- ค่าบริการแพงกว่าแอร์แบบทั่วไป

___________________________________________________
4.เครื่องปรับอากาศแบบชีลเลอร์(CHILLED TYPE)
เป็นเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ ใช้ในระบบอุตสาหกรรมหรือระบบปรับอากาศเพื่อการพานิช เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ซึ่งเป็นแอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้การระบายความร้อนด้วยน้ำและอากาศ ใช้การส่งความเย็นโดยการปั๊มน้ำเย็น ที่มีอุณหภูมิประมาณ 5-10 องศาเซลเซียส ส่งไปทางท่อน้ำเย็นเข้าสู่จุดกระจายความเย็นในบริเวณต่างๆของอาคาร ซึ่งเครื่องปรับอากาศแบบชีลเลอร์เป็นเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้วิศวกรด้านเครื่องกลเป็นผู้ออกแบบระบบ

___________________________________________________
การคำนวณหาขนาดทำความเย็นของขนาดเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมกับขนาดห้องที่จะติดตั้ง ขนาดทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ มีหน่วยเป็น BTU = BTU/hr.(บีทียู/ชั่วโมง)
ขนาด 1 ตันความเย็น =12,000 BTU
ซึ่งค่า BTU เป็นค่าที่บอกถึง ความสามารถที่เครื่องปรับอากาศจะนำพาความร้อนออกจากห้องได้ในเวลา 1 ชัวโมง
การคำนวณหาขนาดเครื่องปรับอากาศที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง มีหลักการอยู่หลายวิธี เช่น การนำพื้นที่ห้อง(ตร.ม.) x ขนาดทำความเย็นตั้งแต่ 700 - 1000
การคำนวณหาขนาดเครื่องปรับอากาศที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง มีหลักการอยู่หลายวิธี เช่น การนำพื้นที่ห้อง(ตร.ม.) x ขนาดทำความเย็นตั้งแต่ 700 - 1000
หรือหากจะใช้เป็นวิธีที่ค่อนข้างละเอียด ก็สามารถคำนวนได้ตามตารางแบบฟอร์มข้างล่าง

หากเราทราบโหลดปริมาณความร้อนในห้องจำพวก น้ำหนักของสสาร อุณหภูมิแตกต่าง ความร้อนจำเพาะ รวมทั้งหมดโดยการคำนวนออกมาเป็น BTU/hr.และมีการเผื่อขนาดไว้อีก10% เราสามารถนำค่าที่คำนวนออกมา ไปใช้เป็นขนาดเครื่องปรับอากาศได้ทันที แต่ในการคำนวณด้วยวิธีนี้ถือว่าเป็นเรื่องของวิธีการเฉพาะทางของช่างหรือผู้ออกแบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยุ่งยากสำหรับผู้ใช้ทั่วไป จึงมีการกำหนดวิธีง่ายๆออกมา เพื่อให้ผู้ใช้สามารถคำนวณเองได้ง่ายๆ โดยการนำขนาดของห้องหน่วยเป็นตารางเมตร มาคูณกับค่าตัวแปร ผลที่ได้ก็จะทำให้ได้ทราบถึงขนาดของเครื่องปรับอากาศโดยประมาณ ที่มีความเหมาะสมในการใช้งาน โดยสามารถนำขนาดพื้นที่ห้อง มาคูณกับตัวคูณแบบต่างๆ เพื่อหาขนาดของเครื่องปรับอากาศโดยวิธีง่ายๆ

ตัวคูณ(ขนาดทำความเย็นใน 1 ตร.ม.) สำหรับนำมาหาขนาดเครื่องปรับอากาศ แบบง่ายๆ
700 x พท.(ตร.ม.) สำหรับห้องนอน
750 x พท.(ตร.ม.) สำหรับส่วนพักผ่อน หรือห้องนอน ที่มีแดดส่อง
800 x พท.(ตร.ม.) สำหรับห้องทำงานหรือห้องนั่งเล่น ที่มีแดดส่องไม่มาก
850 x พท.(ตร.ม.) สำหรับห้องทำงานที่มีแดดส่องค่อนข้างมากหรือห้องรับแขก
900 x พท.(ตร.ม.) ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก ที่มีแดดส่องมาก
1,000 x พท.(ตร.ม.) สำหรับบริเวณห้องที่ร้อนมากหรือมีผนังกระจกหลายด้าน
ซึ่งการใช้ตัวแปรคูณหาขนาด อาจจะไม่ตรงแบบที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากกรณีให้ช่างหรือผู้ออกแบบประเมินขนาด จะประเมินโดยความเห็นสมควรและปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำความเย็นหรือเปรียบเทียบได้จากตารางพื้นฐานในการเลือกเครื่องปรับอากาศ Click

___________________________________________________

ตัวคูณ(ขนาดทำความเย็นใน 1 ตร.ม.) สำหรับนำมาหาขนาดเครื่องปรับอากาศ แบบง่ายๆ
700 x พท.(ตร.ม.) สำหรับห้องนอน
750 x พท.(ตร.ม.) สำหรับส่วนพักผ่อน หรือห้องนอน ที่มีแดดส่อง
800 x พท.(ตร.ม.) สำหรับห้องทำงานหรือห้องนั่งเล่น ที่มีแดดส่องไม่มาก
850 x พท.(ตร.ม.) สำหรับห้องทำงานที่มีแดดส่องค่อนข้างมากหรือห้องรับแขก
900 x พท.(ตร.ม.) ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก ที่มีแดดส่องมาก
1,000 x พท.(ตร.ม.) สำหรับบริเวณห้องที่ร้อนมากหรือมีผนังกระจกหลายด้าน
ซึ่งการใช้ตัวแปรคูณหาขนาด อาจจะไม่ตรงแบบที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากกรณีให้ช่างหรือผู้ออกแบบประเมินขนาด จะประเมินโดยความเห็นสมควรและปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำความเย็นหรือเปรียบเทียบได้จากตารางพื้นฐานในการเลือกเครื่องปรับอากาศ Click
ปล. ข้อมูลเบื้องต้น เหมาะสมกับห้องในสภาวะปกติ ที่มีจำนวนคนอยู่ไม่มาก และเพดานสูงไม่เกิน 3 เมตร
การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศดูที่การรับรองอะไรบ้าง
สิ่งแรก ควรดูที่การรับประกันในวัสดุ ชิ้นส่วน และอุปกรณ์ พร้อมทั้งพิจารณาในเงื้อนไขของการรับประกัน
และควรดูในเรื่อง มาตรฐานต่างๆ เช่น มอก. , สมอ. , ISO
ในส่วนฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นการรับรองประสิทธิภาพในการใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ในกรณีแอร์ขนาดใหญ่อาจจะไม่ได้รับฉลากเบอร์ 5 เพราะไม่เข้าตามมาตรฐานนั่นเอง
และไม่เพียงแต่สังเกตุเฉพาะฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 อย่างเดียว
การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศดูที่การรับรองอะไรบ้าง
สิ่งแรก ควรดูที่การรับประกันในวัสดุ ชิ้นส่วน และอุปกรณ์ พร้อมทั้งพิจารณาในเงื้อนไขของการรับประกัน
และควรดูในเรื่อง มาตรฐานต่างๆ เช่น มอก. , สมอ. , ISO
ในส่วนฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นการรับรองประสิทธิภาพในการใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ในกรณีแอร์ขนาดใหญ่อาจจะไม่ได้รับฉลากเบอร์ 5 เพราะไม่เข้าตามมาตรฐานนั่นเอง

ควรดูที่ค่า EER (Energy Efficiency Ratio) ซึ่งเป็นค่าประสิทธิภาพพลังงานซึ่งคำนวณโดย การเอาค่าบีทียูมาหารด้วยจำนวนวัตต์ หากค่า EER น้อยเกินไปแสดงว่ากินไฟมาก
จำนวนของค่า EER ยิ่งสูง ก็ยิ่งแสดงว่าแอร์เครื่องนั้นประหยัดพลังงานมาก
ช่วงเวลาในการซื้อเครื่องปรับอากาศ
หลายคนมีความคิดที่ว่า "ซื้อแอร์หน้าหนาว ราคาถูกกว่า" นั่นเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องเสมอไป ซึ่งราคาก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก อาจจะถูกกว่ากัน ไม่กี่บาท เพราะเครื่องปรับอากาศเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีล็อตการผลิตที่ไม่เหมือนกันแล้วแต่ผู้จำหน่ายสต็อกสินค้าเอาไว้ เครื่องปรับอากาศเรียกว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ขายได้ตลอดปีเพราะปัจจุบันฤดูกาลในประเทศไทย เปลี่ยนไปมาก ฤดูร้อนก็ร้อนจัด ฤดูฝนก็ไม่ค่อยมีฝน ฤดูหนาวก็ไม่หนาวมากแบบอดีต แต่จะขายได้มากน้อยในช่วงใด อยู่ที่กำลังซื้อของผู้บริโภคมากกว่า

แต่ถ้าใครคิดจะติดแอร์ใหม่สักเครื่อง ส่วนตัวแนะนำว่าซื้อช่วงฤดูร้อนจะดีที่สุด เพราะผู้จำหน่ายต่างงัดกลยุทธในการเรียกลูกค้าด้วยโปรโมชั่นต่างๆ อาจจะแถมบริการล้างฟรี แถมฟรีค่าติดตั้ง แถมพัดลม แถมหมอน หรือแถมอะไรก็ตามแต่ที่เขาจัดรายการ การต่อรองราคาก็ทำได้ง่ายกว่าซื้อนอกเหนือจากฤดูร้อน
ส่วนจะซื้อยี่ห้อไหนหรือรุ่นไหน ก็ให้ศึกษาก่อนที่จะซื้ออาจจะศึกษาจากเสียงของผู้ใช้ คำแนะนำของช่าง หรือข้อมูลผลิตภัณฑ์แต่ละตัว เอาราคา ความชอบ และ ข้อมูล มาชั่งน้ำหนักหักล้างกัน เพื่อจะได้เครื่องปรับอากาศที่คุ้มค่าต่อเงินที่จ่ายไป ทำความเย็นได้ตามต้องการและถูกใจในการใช้งาน เพราะอย่าลืมว่าการลงทุนซื้อเครื่องปรับอากาศแต่ละครั้ง มันจะต้องอยู่กับเราไปอีกนาน โดยไม่งอแงหรือมีปัญหากวนใจบ่อยๆ
เมื่อเลือกยี่ห้อและรุ่นที่ต้องการได้แล้ว ควรทำการเช็คราคาจากร้านใกล้ๆบ้านเพื่อได้ทราบราคาที่เป็นที่น่าพอใจที่สุด เลือกร้านที่มีหน้าร้านและดูน่าเชื่อถือ หรือซื้อจากร้านแอร์ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการของแอร์แบรนด์ที่ต้องการเพื่อที่คุณจะได้รับคำแนะนำที่ดีและได้รับการบริการหลังการขายมาตรฐานศูนย์บริการ ไม่แนะนำให้ซื้อแอร์ในห้างดังๆทั้งหลาย เพราะคุณอาจจะไม่ได้แอร์ในรุ่นที่คุณต้องการ พนักงานขายจะหลอกหลอนคุณ คอยเน้นย้ำและเชียร์รุ่นที่คุณไม่ได้สนใจและไม่ได้เก็บข้อมูล ทำให้คุณไขว้เขวและในที่สุดก็ตกในภวังค์ของพนักงานขาย ได้รุ่นที่ไม่ต้องการกลับมา แล้วมานั่งเสียใจอยู่ภายหลัง รวมทั้งราคาในห้างที่ไม่สามารถคุยต่อรองกันได้ ต่อให้ป้ายในห้างเขียนว่าถูกแค่ไหน เมื่อลองออกมาเที่ยบกับร้านแอร์ใหญ่ๆข้างนอก จะพบว่า คำว่า...ถูก หรือ ลดกระหน่ำ ที่ห้างติดป้ายไว้ ยังคงแพงกว่าร้านแอร์ข้างนอกมาก
ส่วนจะซื้อยี่ห้อไหนหรือรุ่นไหน ก็ให้ศึกษาก่อนที่จะซื้ออาจจะศึกษาจากเสียงของผู้ใช้ คำแนะนำของช่าง หรือข้อมูลผลิตภัณฑ์แต่ละตัว เอาราคา ความชอบ และ ข้อมูล มาชั่งน้ำหนักหักล้างกัน เพื่อจะได้เครื่องปรับอากาศที่คุ้มค่าต่อเงินที่จ่ายไป ทำความเย็นได้ตามต้องการและถูกใจในการใช้งาน เพราะอย่าลืมว่าการลงทุนซื้อเครื่องปรับอากาศแต่ละครั้ง มันจะต้องอยู่กับเราไปอีกนาน โดยไม่งอแงหรือมีปัญหากวนใจบ่อยๆ
เมื่อเลือกยี่ห้อและรุ่นที่ต้องการได้แล้ว ควรทำการเช็คราคาจากร้านใกล้ๆบ้านเพื่อได้ทราบราคาที่เป็นที่น่าพอใจที่สุด เลือกร้านที่มีหน้าร้านและดูน่าเชื่อถือ หรือซื้อจากร้านแอร์ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการของแอร์แบรนด์ที่ต้องการเพื่อที่คุณจะได้รับคำแนะนำที่ดีและได้รับการบริการหลังการขายมาตรฐานศูนย์บริการ ไม่แนะนำให้ซื้อแอร์ในห้างดังๆทั้งหลาย เพราะคุณอาจจะไม่ได้แอร์ในรุ่นที่คุณต้องการ พนักงานขายจะหลอกหลอนคุณ คอยเน้นย้ำและเชียร์รุ่นที่คุณไม่ได้สนใจและไม่ได้เก็บข้อมูล ทำให้คุณไขว้เขวและในที่สุดก็ตกในภวังค์ของพนักงานขาย ได้รุ่นที่ไม่ต้องการกลับมา แล้วมานั่งเสียใจอยู่ภายหลัง รวมทั้งราคาในห้างที่ไม่สามารถคุยต่อรองกันได้ ต่อให้ป้ายในห้างเขียนว่าถูกแค่ไหน เมื่อลองออกมาเที่ยบกับร้านแอร์ใหญ่ๆข้างนอก จะพบว่า คำว่า...ถูก หรือ ลดกระหน่ำ ที่ห้างติดป้ายไว้ ยังคงแพงกว่าร้านแอร์ข้างนอกมาก
แอร์ไทย,แอญี่ปุ่น,แอร์ฝรั่ง(อเมริกา)
ก่อนจบบทความ ข้อทิ้งท้าย ในส่วนของเรื่องยี่ห้อ ตราสินค้า ของเครื่องปรับอากาศ ที่มีทั้ง แอร์ยี่ห้อไทย-แอร์ยี่ห้อญี่ปุ่น-แอร์ยี่ห้ออเมริกา ในช่วงแรกเริ่มที่มีการใช้เครื่องปรับอากาศหรือแอร์ในประเทศไทย แอร์ที่ใช้กันช่วงเริ่มแรกในประเทศไทย เป็นสินค้าที่มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งเห็นได้ชัดคือมาจากทางฝั่ง อเมริกา ภายหลังจึงมีแอร์จากญี่ปุ่น เข้ามาตีตลาดในประเทศไทย จนสามารถแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากแอร์ฝั่งอเมริกาได้ แต่ในภายหลัง(20-25ปีที่แล้ว) ประเทศไทยเรา เริ่มซื้อลิขสิทธิ์จากบริษัทแม่ ต้นสังกัดที่อยู่ต่างประเทศ ผู้ประกอบการในไทยเราซื้อลิขสิทธิ์ของแอร์ชื่อดังหลายแบรนด์มาผลิตเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนอื่นๆขึ้นเองภายในประเทศ ปัจจุบันนี้(โดยประมาณ)กว่า90% ของยี่ห้อแอร์ทั้งหมดที่มีการจำหน่ายในประเทศไทย ล้วนผลิตในประเทศ หรือเรียกให้ทันสมัยก็ แอร์ MADE IN THAILAND ไทยทำไทยใช้ ไม่พอ ยังส่งออกนอกอีกด้วย น่าภาคภูมิใจไหม

ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศในไทยเรา ขยายกำลังการผลิตมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดการแข่งขันสูง ทำให้ราคาของแอร์ในบ้านเรา เมื่อเทียบในปัจจุบันกับเมื่อประมาณ30ปีก่อน แอร์ในปัจจุบัน ขนาดที่เท่ากัน ราคาถูกลงมาก และแต่ละแบรนด์ก็มีเทคโนโลยีใหม่ๆแต่งเติมเสริมเข้าไปเพื่อทำการตลาด จะเห็นได้ว่า แอร์แต่ละยี่ห้อในปัจจุบันนี้ เร่งโหมโฆษณา ทำการตลาดแบบไม่มีใครยอมใคร
ดังนั้น การตัดสินใจซื้อเครื่องปรับอากาศแต่ละเครื่อง ควรใช้เหตุผลประกอบอื่นๆมาช่วยเสริม อย่ายึดติดในภาพลักษณ์ที่เห็นจากการโฆษณามากจนเกินไป คำโฆษณาชวนเชื่อไม่สามารถตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างได้ ทุกยี่ห้อย่อมโฆษณาเพื่อให้ภาพลักษณ์ของตนออกมาดีกันทั้งนั้น ดังนั้นควรหาเหตุผลอื่นๆมาประกอบการตัดสินใจด้วยเสมอ เพื่อที่คุณจะได้สินค้าที่เป็นที่น่าพอใจมากที่สุด
สุดท้ายนี้ของให้ทุกคน ที่คิดจะซื้อเครื่องปรับอากาศเครื่องใหม่ เลือกเครื่องปรับอากาศที่ตอบสนองความต้องการของคุณได้รอบด้านดังใจหมาย และไม่เจอเรื่องเกี่ยวกับปัญหากวนใจขณะใช้งาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น